เส้นทางคมนาคมที่เชื่อมต่อระหว่างไทยกับลาว อย่างสะดวกสบายผ่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ที่มีอยู่ถึง 4 แห่ง และอนาคตอันใกล้กำลังจะขยายเป็นแห่งที่ 5 ที่จังหวังบึงกาฬ เชื่อมไปยังเมืองปากซัน แขวงบอลิคำไซของลาว และแห่งที่ 6 จะเกิดขึ้นตามมา เชื่อมโยงจากจังหวัดอุบลราชธานีกับแขวงสาละวัน ประกอบกับลาวได้เปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษเพิ่มเติมอีกหลายแห่ง
ล่าสุดที่ "เวียงจันทน์-โนนทอง" เป็นที่ตั้งทำเลดี พร้อมรับนักลงทุนต่างชาติได้มาก เนื่องจากตั้งอยู่ใกล้เมืองหลวง ห่างจากกรุงเวียงจันทน์ เพียงแค่ 21 กิโลเมตร และใช้เวลาเดินทางจากจังหวัดหนองคายเข้าไป แค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น และด้วยความอุดมสมบูรณ์ทางด้านทรัพยากรของ สปป.ลาว ทั้งทองคำ ทองแดง แร่ธาตุ พลังงาน และสินค้าเกษตร ทำให้วันนี้ "ลาว" กลายเป็นแหล่งที่นักธุรกิจไทยน่าจะเข้าไปเจาะตลาดลงทุนมากที่สุด คุณพิมล ปงกองแก้ว ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ เวียงจันทน์ บอกว่า นอกจากความสะดวกสบายด้านคมนาคมและนโยบายการเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษของลาวแล้ว นักธุรกิจไทยยังจะได้ประโยชน์ด้านสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร หลังจาก สปป.ลาวเข้าเป็นสมาชิกขององค์กรการค้าโลกอีกด้วย
การเข้าเป็นสมาชิก WTO ของลาว ทำให้กฎระเบียบการค้าต่างๆ มีความเป็นสากลมากขึ้น เพราะใช้กฎหมายการลงทุนเดียวกัน จึงเกิดความเสมอภาค
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีการประกาศยกเว้นภาษีการลงทุน 7 ประเภทคือ การลงทุนเพื่อการส่งออก สินค้าเกษตรแปรรูป การผลิตอุปกรณ์เครื่องจักรอุตสาหกรรม โครงสร้างพื้นฐานการท่องเที่ยวบริการ รวมถึงการศึกษาและสุขภาพ
เมื่อมีข้อดีย่อมมีข้อเสียตามมา การลงทุนในลาวแม้จะสะดวกขึ้น แต่ยังมีปัญหาแรงงานหายากและยังไร้ฝีมือ จำเป็นต้องมีการฝึกทักษะเพิ่มเติม เพื่อให้สินค้าและบริการมีคุณภาพ แข่งขันกันได้กับตลาดอื่นๆ ทั่วโลก
เห็นลู่ทางการลงทุนแบบนี้ ต้องยอมรับว่า แม้ สปป.ลาวจะมีประชากร แค่ 6,000,000 - 7,000,000 คน แต่ประโยชน์ด้านสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร สามารถขยายฐานการผลิต เพื่อรองรับตลาดในประชาคมอาเซียน 600 ล้านคนได้ ที่สำคัญยังเชื่อมต่อไปถึงกลุ่มอาเซียน บวก 3 บวก 6 ที่มีออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ อินเดีย ญี่ปุ่นและจีนอีกด้วย