ตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษสยบไพรี นำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านหลังหนึ่ง พื้นที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายของปฏิบัติการทลายเครือข่ายค้ายาเสพติด เพื่อจับผู้ต้องหาคดียาเสพติด รายสำคัญ 4 คน คือ นายสว่าง ภมรวิจิตร และนางวันเพ็ญ สัตย์ธัญญากุล ซึ่งเป็นคู่สามีภรรยากัน พร้อมด้วยลูกชายอีก 2 คน
หลังสืบทราบว่า ทั้งหมดเป็นตัวการสำคัญในการนำยาเสพติดจากพื้นที่ชายแดนประเทศเพื่อนบ้านทางภาคเหนือ ลงมากระจายสู่ภาคใต้ ซึ่งจากการเข้าตรวจค้นพบเพียง นางวันเพ็ญ อยู่ในบ้านกับญาติอีกหลายคน
ทันทีที่ตำรวจแสดงหมายจับ นางวันเพ็ญ ก็ให้การปฏิเสธว่าตัวเองและสามีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายยาเสพติด บอกว่า ปกติมีอาชีพค้าขาย โดยมีธุรกิจขายของหลายอย่าง เช่น ร้านทุกอย่าง 20 บาท ส่วนบ้านหลังนี้เป็นของลูกชาย กับภรรยา ที่เธอมาอาศัยอยู่เท่านั้น
จากคำให้การดังกล่าว พบว่าขัดแย้งกับข้อมูลที่ตำรวจสืบสวนว่า นายสว่าง ผันตัวจากผู้ประสานงานกับกลุ่มผู้ค้ายาเสพติด มาเป็นตัวแทน สั่งการขนยาเสพติดด้วยตัวเอง เนื่องจากนายสว่าง เคยอาศัยอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ ทำให้รู้เส้นทางขนส่งยาเสพติดเป็นอย่างดี
โดยตัวนายสว่าง ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อเปิดธุรกิจขายของทุกอย่าง 20 บาทบังหน้า ซึ่งการจับครั้งนี้ ตำรวจยังพบความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มผู้ขนยาเสพติดที่ถูกจับก่อนหน้านี้ ในจังหวัดกำแพงเพชร พร้อมของกลางยาบ้ากว่า 5 ล้านเม็ด เมื่อวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา โดยพบเส้นทางการโอนเงินและติดต่อทางโทรศัพท์ ระหว่างนางวันเพ็ญ กับกลุ่มผู้ต้องหา
จากการสืบสวนยังพบอีกว่า ก่อนหน้านี้ นายสว่าง เคยถูกอายัดทรัพย์สินกว่า 90 ล้านบาท ไว้ตรวจสอบ เมื่อปี 2558 แต่พยานหลักฐานไม่เพียงพอที่จะเอาผิด ทรัพย์สินทั้งหมดจึงถูกคืนให้กับนายสว่าง
ซึ่งหลังจากนั้นตำรวจเฝ้าติดตามพฤติกรรม โดยพบว่าในช่วงระยะเวลา 2 ปี ธุรกิจของนายสว่าง มีเงินหมุนเวียนมากผิดปกติ จึงรวบรวมหลักฐาน จนกระทั่งสามารถออกหมายจับนายสว่าง พร้อมภรรยา และลูกชายอีก 2 คน ที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด
ส่วน นายสว่าง ถูกตำรวจติดตามไปจับได้ที่จังหวัดราชบุรี ขณะที่ลูกชายอีก 2 คน ถูกจับที่จังหวัดเชียงใหม่ และย่านลาดกระบัง กรุงเทพฯ โดยปฏิบัติการเมื่อวานนี้ (5 ส.ค.) ตำรวจกระจายกำลังลงพื้นที่ 4 จังหวัด 30 เป้าหมาย คือ เชียงใหม่ เชียงราย กรุงเทพฯ และประจวบคีรีขันธ์ สามารถจับผู้ต้องหาตามหมายจับได้ทั้งหมด พร้อมยึดทรัพย์รวมมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท หลังจากนี้เตรียมขยายผลถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเพิ่มเติมต่อไป