นายเนตรนริน หนึ่งในเหยื่อนางพอ เล่าว่าวันนี้ตนและผู้เสียหายในนามกลุ่มคนรถหายจากหลายจังหวัดในภาคอีสานได้นัดกันมาทวงถามความคืบหน้าในการติดตามจับกุมตัวนางพอ (นามสมมุติ) พร้อมพวกชาวอำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยในส่วนของตนเป็นรถยนต์กระบะตอนเดียว สีขาวทะเบียน พข-2918 เหลือค่างวดประมาณ 300,000 บาทแต่ต้องตัดสินใจขายเพราะประสบปัญหาการเงินจึงประกาศขายรถผ่านเฟซบุ๊ก
จากนั้นนางพอพร้อมพวกได้ติดต่อเข้ามาทำการซื้อขายหรือเปลี่ยนสัญญาผู้ครอบครองแล้วจึงจะส่งงวดต่อเองที่ศูนย์ตัวแทนจำหน่ายรถแห่งหนึ่งในจังหวัดหนองคายโดยตกลงกันในราคา 45,000 บาทซึ่งในวันทำสัญญาเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2562 และนัดเปลี่ยนสัญญาวันที่ 30 มกราคม 2563 แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมากลับไม่สามารถติดต่อนางพอและไม่มาเปลี่ยนสัญญาตามนัดจึงทำให้ต้องรับภาระส่งงวดต่อ ขณะที่นางพอและรถกระบะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ด้านนายสมรัก หนึ่งในผู้เสียหาย เล่าเพิ่มว่ามีรถแทรกเตอร์อยู่ 2 คันโดยเหลือค่างวด 800,000 บาทจึงอยากขายออก 1 คันเพราะไม่ค่อยได้ใช้งานจึงประกาศขายผ่านทางเฟซบุ๊ก จากนั้นนางพอพร้อมพวกได้ติดต่อนัดทำสัญญาเปลี่ยนผู้ครอบครองและรับช่วงส่งงวดต่อที่ศูนย์ตัวแทนจำหน่ายแห่งหนึ่งในตัวจังหวัดอำนาจเจริญ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2562 โดยตนขอค่าส่วนต่างจากนางพอจำนวน 30,000 บาท
ทั้งนี้สัญญายังไม่สมบูรณ์เนื่องจากตัวแทนจำหน่ายแจ้งว่าต้องให้ทางไฟแนนซ์สำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพฯตรวจสอบเอกสารรถและผู้เช่าซื้อให้เสร็จสิ้นก่อน แต่นางพอได้ต่อรองขอนำรถมาใช้ก่อนและตนรู้สึกเห็นใจจึงยอมมอบรถให้ เพื่อความมั่นใจตนได้เดินทางติดตามนางพอและรถมาที่บ้านในตัวอำเภอยางตลาดและขอร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นสักขีพยานในการทำหนังสือส่งมอบรถกัน
จนกระทั่งวันที่ 16 ธันวาคม 2562 มีหนังสือทวงค่างวดรถระจำเดือนจากไฟแนนซ์มาหาตนจึงโทรติดต่อให้นางพอชำระค่างวดโดยครั้งแรกโทรติดแต่นางพอบ่ายเบี่ยงเรื่อยมาจนหลายเดือนต่อมาได้ขาดการติดต่อไปรวมทั้งได้ไปติดตามหาตัวนางพอและรถที่บ้านแต่ไม่พบอีกด้วยสอบถามผู้นำชุมชนทราบว่านางพอมีพฤติกรรมหลอกลวงซื้อรถมีผู้เสียหายหลายรายมาติดตามตัวตนอยู่ตลอดจึงรู้ตัวว่าถูกหลอกและได้เข้าแจ้งความเพราะตนถูกไฟแนนซ์ฟ้องขึ้นศาลวันที่ 27 สิงหาคมนี้
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ยางตลาด ทำการตรวจสอบประวัตินางพอพร้อมพวกจากโรงพักหลายแห่งในท้องที่และในจังหวัดทางภาคเหนือทั้งในข้อหาฉ้อโกง,ยักยอกทรัพย์ จึงพบว่ามีผู้เสียหายในลักษณะนี้จำนวนไม่น้อยกว่า 10 คนคิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 10 ล้านบาทจึงคิดว่ามีการทำเป็นขบวนการและอาจมีคนมีสีอยู่เบื้องหลังเพราะเกิดเหตุในหลายจังหวัดแต่ไม่เคยถูกจับสักที