หลักฐานที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส. นำไปมอบให้กับตำรวจปราบปรามยาเสพติดประกอบการแจ้งความดำเนินคดี เป็นเอกสารบันทึกผลการสืบสวนสอบสวน ที่ได้รับการประสานจากทางการประเทศไต้หวัน ที่ได้ตรวจยึดของกลางเคตามีน 300 กิโลกรัม ซุกซ่อนในถุงกระสอบบรรจุสารเคมี เมื่อเดือนกันยายน, หลักฐานการส่งออกสินค้า, หลักฐานการเช่าโกดัง และบันทึกการตรวจยึดของกลางวัตถุต้องสงสัยว่าเป็นยาเสพติด น้ำหนัก 11.5 ตัน จากโกดังในจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่เชื่อมโยงไปถึงชายคนหนึ่ง ซึ่งพบข้อมูลว่าเป็นทั้งคนเช่าและคนส่งออกสินค้า ซึ่งได้หายตัวไปทันทีที่เริ่มมีข่าวการจับกุมยาเสพติดในต่างประเทศ
เลขาธิการ ป.ป.ส. ยืนยันว่า ไม่มีการสลับสับเปลี่ยนของกลางกลางทาง เพราะตั้งแต่ที่ตรวจยึดไปถึงขั้นตอนการเก็บรักษา มีหลายหน่วยงานร่วมเป็นสักขีพยานและเซ็นเอกสารรับรอง ส่วนที่การดำเนินคดีนี้ล่าช้า เป็นเพราะต้องรอเอกสารจากต่างประเทศ เพื่อนำไปให้ตำรวจประกอบการพิจารณาขออนุญาตตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานอัยการสูงสุด เนื่องจากเป็นคดีที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศ ส่วนเรื่องการตรวจพิสูจน์ของกลางว่าเป็นยาเสพติดหรือไม่นั้น ในวันนี้จะมีหลายหน่วยงานร่วมกันตรวจพิสูจน์เพื่อความโปร่งใส
ขณะที่ ตำรวจปราบปรามยาเสพติด เปิดเผยว่า ได้ให้ชุดสืบสวนลงพื้นที่ไปสืบสวนหาแหล่งที่อยู่ของผู้ต้องสงสัยในแถบภาคเหนือแล้ว แต่ยังไม่พบตัว ส่วนขบวนการค้ายาเสพติดที่เกี่ยวข้องกับเคตามีน ยืนยันว่า มีข้อมูลเฝ้าระวังขบวนการนี้อยู่ 2-3 กลุ่ม ที่คาดว่าน่าจะเกี่ยวข้อง
ขณะที่อีกด้านก็มีผู้ไปร้องทุกข์ที่กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ ปปป. เพื่อขอให้ตำรวจดำเนินคดีกับ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ นายวิชัย เลขาธิการ ป.ป.ส. เนื่องจากเห็นว่า การแถลงข่าวที่มีการกลับข้อมูลข้อเท็จจริง จากเคตามีน น้ำหนัก 11.5 ตัน เป็นของกลางที่อาจไม่ใช่ยาเสพติดทั้งหมดนั้น เป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของกระทรวงยุติธรรม และ ป.ป.ส. ซึ่งเป็นองค์กรที่มี่หน้าที่ในการตรวจสอบยาเสพติด เข้าข่ายเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งตำรวจก็รับเรื่องไว้ดำเนินการตรวจสอบต่อไป