จากการสอบสวนนายสมคิด ให้การยอมรับว่าเสพติดหนังแอกชันประเภทแต่งกายอำพรางโรยตัวเข้าโจรกรรมอย่างหนัก จนต้นปี 2559 ถูกตำรวจสืบสวนนครบาล 8 และ ตำรวจ สน.บางขุนเทียน จับกุมตัวในข้อหาลักทรัพย์ หลังตระเวนปีนฝ้าเพดานร้านขายโทรศัพท์จำนวน 11 แห่ง แล้วโรยตัวเข้าไปโจรกรรมโทรศัพท์มือถือได้กว่า 200 เครื่อง จนได้ฉายาว่า “คิด สไปเดอร์แมน” ครั้งนั้นถูกศาลตัดสินจำคุก 8 เดือน และยังถูกอายัดตัวดำเนินคดีข้อหาลักทรัพย์ในท้องที่อื่นๆ ศาลตัดสินจำคุกเพิ่มอีก 3 ปี และเพิ่งพ้นโทษออกมาเมื่อต้นเดือน ต.ค. 2563 ที่ผ่านมา
“ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา หลังได้รับอิสระออกจากเรือนจำ ตระเวนไปสำรวจลาดเลาตามวัดดังต่าง ๆ โดยใช้รถโดยสารสาธารณะเป็นยานพาหนะ ทำทีตีสนิทกับพระสงฆ์ที่ดูแลตู้วัตถุมงคลเพื่อจดรายละเอียดเกี่ยวกับพระเครื่อง แล้วจะย้อนกลับไปที่วัดในยามวิกาล ทำการงัดแงะหน้าต่าง ประตู เข้าไปลักทรัพย์พระเครื่องตามตู้ ขโมยเงินสดออกจากตู้บริจาค โดย 2 เดือน เข้าไปลักทรัพย์ในวัด 4 แห่ง ได้แก่ วัดหนังราชวรวิหาร กทม. วัดท่าไม้ จ.สมุทรสาคร มูลนิธิสมเด็จโต จ.นครราชสีมา และ วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม ได้พระเครื่องมาเป็นจำนวนมาก แล้วนำออกไปเร่ขายให้กับพ่อค้าในสนามพระในราคาถูกกว่าท้องตลาด เงินที่ได้นำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ส่วนเงินที่ได้จากการงัดตู้บริจาคนั้นก็ใช้กินเที่ยวเตร่ไปจนหมด เหลือแค่เศษเหรียญบาท 4,553 บาท ที่ได้มาจากตู้วัดไผ่ล้อมเท่านั้น” นายสมคิด กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะตำรวจเข้าจับกุมนายสมคิด พบโพยกระดาษเขียนด้วยลายมือนายสมคิดจำนวน 3 แผ่น ระบุข้อความในโพยระบุถึงพระเครื่องและของโบราณ ตามสถานที่สำคัญอีกหลายแห่ง ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัดเกือบทั่วประเทศ อาทิ วัดบวรมงคลราชวรวิหาร วัดประยุรวงศาวาส วัดช่องแค วัดทรงธรรม วัดไผ่โรงวัว วัดพระรูป วัดหูช้าง ฯลฯ และเมื่อสอบถาม นายสมคิด โดยนายสมคิดยอมรับว่ากระดาษดังกล่าว เป็นรายชื่อวัดที่บันทึกเอาไว้รอการไปสำรวจลาดเลา เพื่อก่อเหตุร่วมกันกับเพื่อนอีก 1 คน ที่กำลังรอพ้นโทษจากเรือนจำ โดยตำรวจชุดจับกุมได้ส่งตัวนายสมคิดพร้อมของกลาง ให้พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครปฐม ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป.