สืบเนื่องจากเมื่อช่วงระหว่างปี 62 -63 น.ส.ชญาดา และพวก ได้มีพฤติการณ์หลอกลวงเอาเงินผู้อื่น โดยการสร้างบัญชีเฟซบุ๊กปลอมขึ้นมา ก่อนนำภาพและข้อมูลของหญิงสาวบุคคลอื่นที่มีรูปร่างหน้าตาดี และมีอาชีพเป็นข้าราชการตำรวจมาใช้แอบอ้าง แล้วทำทีเข้าไปตีสนิทกลุ่มผู้เสียหายซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย เมื่อเริ่มสนิทกันมากขึ้น น.ส.ชญาดา ก็จะทำการกุเรื่องขึ้นมาในลักษณะกำลังเดือดร้อนทางการเงิน อยากขอความช่วยเหลือ ก่อนให้พวกอีก 3 คนที่อยู่ในขบวนการเดียวกัน เข้ามาร่วมพูดคุยด้วย เพื่อสร้างน่าเชื่อถือ ทำให้ผู้เสียหายเกิดความสงสาร จนยอมโอนเงินให้
เมื่อได้เงินมาแล้ว น.ส.ชญาดา และพวก ก็จะทำการบล็อกช่องทางการติดต่อของผู้เสียหายทุกช่องทาง แล้วเชิดเงินหนีไป ที่ผ่านมามีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อถูกน.ส.ชญาดา และพวก หลอกลวงในลักษณะดังกล่าวจำนวนมาก เสียเงินตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักแสนบาท รวมมูลค่าความเสียหาย 1,760,0000 บาท ซึ่งมีการแจ้งความไว้ตามท้องที่ต่างๆ กระทั่งมีการออกหมายจับในคดีแบบเดียวกันนี้จำนวน 4 หมายจับ
ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมสืบทราบว่าปัจจุบัน น.ส.ชญาดา ได้กบดานซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ กทม. จึงนำกำลังเข้าจับกุมตัวได้ดังกล่าว โดยระหว่างที่ควบคุมตัวมาทำการสอบสวนนั้น พบว่ามีผู้เสียหายที่เคยตกเป็นเหยื่อเดินทางมาดักรอพบหน้าผู้ต้องหาคนดังกล่าวนับสิบคน
จากการสอบสวน น.ส.ชญาดา ให้การรับสารภาพว่า ได้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กชื่อว่า “ขนมหวาน โสพรรณพิพัฒน์” ที่ทำปลอมขึ้นมา ด้วยการนำภาพของบุคคลอื่นที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงมาแอบอ้างหลอกลวงเอาเงินจากผู้เสียหายจริง โดยเงินที่ได้จะนำไปแบ่งกันกับผู้ร่วมขบวนการคนอื่นๆ จากนั้นก็จะนำไปใช้เล่นพนัน และใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย
นอกจากนี้จากการตรวจสอบประวัติ น.ส.ชญาดา ยังพบว่า เคยมีประวัติการกระทำความผิดมาแล้วหลายคดี มีการเปลี่ยนชื่อและนามสกุลมาแล้ว กว่า 12 ครั้ง และเมื่อประมาณเดือน ธ.ค. 62 ที่ผ่านมา เคยถูกจับกุม ในพื้นที่ สภ.น้ำโสม จ.อุดรธานี กรณีนำภาพลูกสาวแท้ๆ ของตนเอง อายุ 19 ปี ที่ป่วยพิการทางสมอง ลงในแชทหาคู่ ก่อนจะให้พวกพาลูกสาวของตัวเองไปส่งให้ร่วมหลับนอนกับชายหนุ่ม จากนั้นก็จะทำทีแต่งชุดข้าราชการแอบอ้างตัวไปข่มขู่กรรโชคทรัพย์กับทางชายหนุ่มคนดังกล่าวอีกที
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อหาตามหมายจับก่อนนำตัวส่ง สน.คันนายาว ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป