ระหว่างการทำแผนฯ เจ้าหน้าที่ต้องให้นายสินชัยหมวกกันน็อกเพื่ออำพรางใบหน้า และป้องกันอันตรายจากญาติพี่น้องของเด็กผู้เสียชีวิตที่เดินทางมาร่วมสังเกตการณ์การทำแผนฯ กันเป็นจำนวนมาก โดยเริ่มที่จุดแรก เป็นจุดที่นายสินชัยเก็บท่อนไม้จากบ้านพักร้างเป็นอาวุธทำร้ายน้องบ๊อบบี้ จุดต่อมาเป็นจุดที่นายสินชัยไปหยิบจอบเพื่อจะนำไปขุดต้นกล้วยอำพรางศพ จุดที่สามเป็นเส้นทางที่นายสินชัยพร้อมน้องบ๊อบบี้เดินทางมาจากบ้าน จุดที่สี่เป็นบริเวณดงกล้วยที่พบศพ จุดที่ห้าเป็นบริเวณที่นายสินชัยนำจอบไปทิ้ง และจุดสุดท้ายเป็นบริเวณทุ่งนาที่นายสินชัยใช้ท่อนไม้ตีน้องบ๊อบบี้หลายครั้งจนเสียชีวิตก่อนนำศพไปทิ้งในดงกล้วย
ระหว่างที่เจ้าหน้าที่จะพานายสินชัยเดินทางกลับ โดยเดินผ่านทุ่งนามายังจุดจอดรถ เมื่อพ่อของน้องบ๊อบบี้ และญาติพี่น้องรวมทั้งชาวบ้านอีกจำนวนหนึ่งได้เห็นหน้านายสินชัย ก็แสดงความโกรธแค้นที่ทำกับเด็กอายุแค่ 7 ขวบได้ลงคอ ต่างกลั้นอารมณ์ไม่อยู่ พากันแหวกวงล้อมของเจ้าหน้าที่พยายามที่จะเข้าไปรุมประชาทัณฑ์นายสินชัย ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องรีบพานายสินชัยวิ่งหลบหนีขึ้นรถออกจากจุดที่เกิดเหตุในทันที
ขณะที่แม่ของน้องบ๊อบบี๊ เมื่อเห็นผู้ต้องหาและเห็นการชุลมุนของชาวบ้านก็ถึงกับเป็นลมและร้องไห้แทบขาดใจ ทำให้ทางชุดรักษาความปลอดภัยประจำหมู่บ้านต้องช่วยกันปฐมพยาบาลเบื้องต้นและนำตัวส่งโรงพยาบาล พร้อมกับมีการยกเลิกการไปทำแผนยังจุดเกิดเหตุบริเวณบ้านของผู้ต้องหา และบ้านของน้องบ๊อบบี้ เพื่อความปลอดภัยของผู้ต้องหา
ด้านพ่อของน้องบ๊อบบี้ บอกว่าดีใจที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหามาดำเนินคดีได้ แต่อัดอั้นใจจนพูดไม่ถูกเมื่อเห็นหน้าผู้ต้องหาที่กระทำกับลูกของตนซึ่งยังเป็นเด็กเล็กได้ลงคอ ทั้งที่ไม่เคยมีเรื่องโกรธแค้นหรือบาดหมางอะไรกันมาก่อน และถึงแม้ว่าจะมีบ้านอยู่ห่างกันไม่ถึง 30 เมตร ตนก็ไม่เคยรู้จักกับผู้ต้องหามาก่อนด้วยซ้ำ โดยตนยุ่งกับการทำงานจนไม่ทราบว่า ผู้ต้องหามาเที่ยวเล่นกับลูกของตนได้อย่างไร จนถึงตอนนี้ก็พูดอะไรไม่ออกกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทุกอย่างไม่สามารถหวนกลับคืนมาได้ ซึ่งก็ต้องปล่อยเป็นเรื่องของตำรวจที่จะดำเนินคดีตามกฎหมายเพื่อคืนความยุติธรรมให้กับบุตรชายของตนให้ถึงที่สุด