ล่าสุด นายสุกฤษฏิ์ ธีระปัญญารัตน์ หนึ่งในอาสาสมัครที่เข้ารับการฉีดวัคซีน ChulaCov-19 ครบ 2 เข็ม โดยเข็มแรกฉีดวันที่ 24 มิ.ย. 2564 และเข็มที่ 2 ฉีดวันที่ 15 ก.ค. 2564 ได้โพสต์เล่าประสบการณ์การฉีดวัคซีน ChulaCov-19 ลงในเฟซบุ๊ก “Sukrit Terapanyarat” ถึงประสิทธิภาพวัคซีน mRNA ตัวแรกของไทย ระบุข้อความดังนี้ “ว่าด้วยประสิทธิภาพวัคซีน ChulaCOV-19 วัคซีน mRNA ตัวแรกของไทย ก่อนอื่นต้องอธิบายว่า ทางโครงการวิจัยไม่ได้มีการเปิดเผยเลขภูมิคุ้มกันของวัคซีนแก่ อสม. เพียงแต่บอกได้ว่ามันดีมาก ดังนั้น นี่จะเป็นการรีวิวและอธิบายจากประสบการณ์จริง เมื่อที่บ้านและออฟฟิศของผม ติดโควิดเกือบยกครัว แต่ "ผม" เป็นคนเดียวที่ไม่ติด
โดยวัคซีน ChulaCOV ถูกพัฒนาขึ้นโดยศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ โดย ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม วัคซีน ChulaCOV เป็นวัคซีนชนิด mRNA ที่มีพัฒนาและวิจัยต่อยอดจาก Moderna ดังนั้น ประสิทธิภาพที่ออกมาจึงมั่นใจได้ว่าเทียบเท่า Pfizer และ Moderna หรืออาจจะดีกว่าสำหรับการป้องกันไวรัสสายพันธุ์เดลตา เพราะกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาต่อไปหลังจากทดสอบกับ อสม. กลุ่มแรก ผมได้รับวัคซีนขนาด 25 ไมโครกรัม (ใช้น้อยกว่า Pfizer) จำนวน 2 โดส ฉีดห่างกัน 3 สัปดาห์ ซึ่งอาการและผลข้างเคียงมีดังนี้
-โดสแรก วันที่ 24 มิ.ย. 2564 มีอาการปวดหัวและอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัดต่อเนื่องราว ๆ 2-3 วัน ไม่มีไข้ และยังทำงานได้ปกติ
-โดสสอง วันที่ 15 ก.ค. 2564 ปวดหัวหนักกว่าโดสแรก หลังจากฉีด 2 ชั่วโมง และถึงขั้นซมหลังฉีด 6 ชั่วโมง มีไข้หรือตัวรุม ๆ แต่ไข้ไม่สูง ปวดหัวตลอดทั้งคืน กว่าจะทุเลาลงก็คือวันที่สอง ซึ่งนอนซม รบกวนการทำงานแน่นอน หลังจากนั้นไข้หายในสองวัน ส่วนอาการปวดหัวจะต่อเนื่องไปร่วม 3-4 วัน
แต่หลังจากฉีดวัคซีนครบสองโดสได้ราวหนึ่งสัปดาห์ พ่อของผมเริ่มมีอาการป่วย ปวดหัว ไอ ส่วนพนักงานที่ออฟฟิศไปตรวจโควิดด้วย Rapid Antigen Test ผลปรากฏว่าติดโควิด จึงมีการตรวจกันทั้งบ้าน ผลลัพธ์ คือ พนักงานออฟฟิศติด 2 คน ไม่ติด 1 ซึ่งคนที่บ้านของพนักงานติดเกือบยกครอบครัว และพ่อของผม และเพื่อความแน่ใจ ทางโครงการวิจัยได้นัดให้ผมไปตรวจ RT-PCR อีกรอบ เพราะผมกลายเป็นกลุ่มเสี่ยงใกล้ชิดผู้ป่วย ผลออกมาว่าผมไม่มีเชื้อโควิดจริงๆ
สำหรับคุณพ่อมีอาการหนักสุด ส่วนพนักงานแทบไม่มีอาการ จึงทำการรักษาตามอาการแบบ Home Isolation แยกบ้านกันอยู่ ซึ่งเหตุการณ์เหมือนจะไม่มีอะไร แต่หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ อยู่ๆ อาการคุณพ่อก็ทรุดหนัก ไข้ขึ้นสูง ค่าออกซิเจนในเลือด (SpO2) ลดลงต่อเนื่องจาก 95% เหลือ 92% ในตอนเย็น และเหลือ 89% ในตอนกลางคืน ไม่ค่อยมีสติและลำบากในการสื่อสาร ด้วยความจำเป็นที่จะต้องหาโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ซึ่งอย่างที่ทุกคนทราบคือ ทุกที่เตียงเต็ม แต่โชคดีที่ติดต่อโรงพยาบาลสมุทรสาครได้ ถึงกระนั้น โรงพยาบาลก็ไม่มีรถฉุกเฉิน จำเป็นที่เราจะต้องขับรถไปเอง
วันนั้น (29 ก.ค.64) หลังจากเพิ่งตรวจ RT-PCR ในวันเดียวกัน ผมต้องใกล้ชิดคุณพ่อที่เป็นผู้ป่วยอีกครั้ง ครั้งนี้มีการสัมผัสและใกล้ชิดมาก แต่ด้วยความจำเป็นต้องพาไปโรงพยาบาลจึงไม่มีทางเลือก ซึ่งอุปกรณ์ป้องกันมีเพียง หน้ากากอนามัยสองชั้น face shield และถุงมือยาง พ่อของผมโชคดีที่ห้องฉุกเฉิน (ER) มีเตียงว่าง ได้รับการรักษาและรับยาฟาวิพิราเวียร์ทันที แม้จะยังไม่เคยตรวจเก็บตัวอย่างเชื้อที่บริเวณลำคอ และหลังโพรงจมูก (PCR) มาก่อน ก่อนจะได้แอดมิตที่โรงพยายาลสมุทรสาคร แม้จะเป็นผู้ป่วยนอก ซึ่งปัจจุบันอาการคุณพ่อดีขึ้นมากแล้ว ย้ายไปโรงพยาบาลสนาม และใกล้จะได้กลับมารักษาตัวต่อที่บ้าน
ส่วนตัวผมเองยังมีนัดต้องไปเจาะเลือด เก็บตัวอย่างกับทางโรงพยาบาลจุฬาฯ เพื่อวัดภูมิวัคซีนหลังฉีด 3 สัปดาห์ ซึ่งเป็นเวลาหลังจากผมสัมผัสผู้ป่วยโดยตรงประมาณ 12 วัน ไม่ได้มีอาการอะไร จึงได้ทำการ Rapid Antigen Test อีกครั้ง และผลก็ออกมาบอกว่า “ผมไม่มีเชื้อ”
อย่างที่เห็นก็คือว่า ผมผ่านการเสี่ยงติดเชื้อมาแล้วถึงสามครั้ง และตรวจสามรอบ
ครั้งที่ 1 - คือการทำงานในออฟฟิศ อยู่กับผู้ที่ติดเชื้อโควิด ในช่วงที่เชื้อกำลังฟักตัวและไม่มีอาการ
ครั้งที่ 2 - หลังจากคนรอบข้างอาการเริ่มออก ผลจรวจออกมา เริ่มมีการให้พนักงาน WFH แต่ก่อนหน้านั้น ผมเองยังคงต้องขับรถ ร่วมโดยสารกับผู้ที่ติดเชื้อทุกวัน
ครั้งที่ 3 - กลับมาสัมผัสผู้ป่วยโควิดโดยตรงอีกครั้ง หลังจาก distancing กันมานานสัปดาห์หนึ่ง
ด้วยผลทดสอบนี้ น่าจะบ่งบอกได้ดีถึงประสิทธิภาพของวัคซีน mRNA ได้ดีในระดับหนึ่ง และเป็นเหตุผลว่า ทำไมวัคซีน ChulaCOV-19 น่าจะเป็นวัคซีนตัวความหวังของคนไทย
สำหรับคำถามว่า "คนไทยจะได้ฉีดวัคซีนตัวนี้เมื่อใด" คำตอบก็คือ กว่าจะวิจัยพัฒนาและทดสอบกลับ อสม. กลุ่มสอง กลุ่มสามเสร็จ น่าจะช่วงไตรมาส 1-2 ของปี 2565 ถึงกระนั้น ถ้าฉุกเฉินจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจจะมีการใช้วัคซีนตัวนี้เป็นเข็มสาม ในช่วงปลายปี และที่สำคัญที่สุด ถึงแม้จะได้วัคซีนที่ดีแล้วยังไง การเว้นระยะห่าง (social distancing) ก็ยังสำคัญ เพราะผลลัพธ์ที่เกิดกับสหรัฐฯ ตอนนี้ เป็นตัวอย่างที่ดีของการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรค”