ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย เผยผลสำรวจแรงงานไทยเป็นหนี้ถึง 99% ปี 65 ภาระหนี้ครัวเรือนสูงสุดในรอบ 14 ปี

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย เผยผลสำรวจแรงงานไทยเป็นหนี้ถึง 99% ปี 65 ภาระหนี้ครัวเรือนสูงสุดในรอบ 14 ปี

View icon 138
วันที่ 28 เม.ย. 2565
7HD ร้อนออนไลน์
แชร์
วันนี้ (28 เม.ย.65) นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลการสำรวจสหภาพแรงงานไทย กรณีศึกษาผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน จำนวน 1,260 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 18-24 เม.ย. 2565 พบว่าแรงงานมีความกังวลเรื่องการตกงานน้อยที่สุด และกังวลเรื่องการหางานทำใหม่น้อย โดยแรงงานที่มองว่างานไม่มั่นคง ส่วนใหญ่เป็นแรงงานรับจ้างรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน หรือรายชิ้นงาน ขณะที่แรงงานภาคเอกชนส่วนใหญ่มองว่างานมีความมั่นคง แสดงให้เห็นว่าปัจจุบันการปลดแรงงานลดน้อยลง อย่างไรก็ดี แรงงานยังมองว่าโอกาสหางานใหม่นั้นทำได้ยาก

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า การที่ตลาดแรงงานเริ่มกลับมานิ่งเป็นปกติ แสดงว่าเศรษฐกิจไทยหยุดทรุดตัวแล้ว อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยยังถือว่ายังไม่ฟื้นตัว เนื่องจากการจ้างงานยังไม่เกิดขึ้น นอกจากนี้ จากผลสำรวจ พบว่าแรงงานไทยมีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจ ราคาสินค้าในปัจจุบัน และอนาคตมากที่สุด (เงินเฟ้อ) ส่วนเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 พบว่า แรงงานไม่มีความกังวลมากนัก เนื่องจากขณะนี้มีการผ่อนคลายมาตรการ และจะเริ่มปรับเข้าสู่โรคประจำถิ่น การทำงาน และการท่องเที่ยวจึงเริ่มกลับมามากขึ้น
         
แต่ในส่วนของชีวิตความเป็นอยู่ของแรงงานในปีนี้ คือ มีหนี้สินเพิ่มขึ้น โดยแรงงานไทยมีหนี้ถึง 99% ส่งผลให้ปีนี้มีภาระหนี้ของครัวเรือนเฉลี่ยอยู่ที่ 217,952.59 บาท ซึ่งขยายตัวทำสถิติสูงสุดในรอบ 14 ปี ทั้งนี้ ในปีนี้แรงงานมีความตั้งใจว่าจะใช้จ่ายน้อยกว่ารายได้ที่หาได้ ในสัดส่วนที่สูงถึง 42.7% ดังนั้น จึงขาดแรงและกำลังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน แรงงานยังมีความตั้งใจในการก่อหนี้ลดลงด้วย ดังนั้น หนี้สินน่าจะอยู่ในระดับที่สูงสุดในปีนี้ หากไม่มีการพลิกผัน โดยแรงงานได้ตัดค่าใช้จ่ายในส่วนที่ไม่จำเป็น เช่น การท่องเที่ยว การซื้อสินค้าคงทน รวมไปถึงการลดการใช้จ่ายในสินค้าอุปโภคบริโภคด้วย โดยแรงงานมองว่าการจับจ่ายใช้สอยยังไม่กลับมาเป็นปกติ หรือทั้งปีนี้ (อีก 10 เดือน) จะไม่เห็นการใช้จ่าย เนื่องจากแรงงานเชื่อว่า ค่าครองชีพจะปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้น จะเห็นการใช้จ่ายจะซึมตัว และความเชื่อมั่นผู้บริโภคชะลอตัวลง

นายธนวรรธ์ ระบุว่า ประเด็นที่น่ากังวล คือ การที่ราคาสินค้าที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้นมาตั้งแต่เดือน เม.ย. 2565 และในเดือน พ.ค. 2565 ที่จะถึงนี้ รัฐบาลจะลอยตัวราคาน้ำมันดีเซลแบบขั้นบันได ซึ่งรัฐบาลช่วยครึ่งหนึ่ง และรัฐบาลมีการวางแผนเบื้องต้นว่าจะค่อยๆ ปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซล ซึ่งอาจจะปรับครั้งละ 0.30 บาทต่อลิตร และเมื่อแตะที่ 32 บาทต่อลิตร อาจปรับขึ้นครั้งละ 1 บาทต่อลิตร โดยอาจกำหนดเพดานไว้ที่ 35 บาทต่อลิตร ดังนั้น ในระยะเวลา 1-2 เดือนนี้ ราคาน้ำมันจะอยู่ที่ 35 บาทต่อลิตร ภายใต้เพดาน 145 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามประกาศของกระทรวงแรงงาน
         
ทั้งนี้ จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ราคาน้ำมันดีเซลที่แพงขึ้นทุก 1 บาทต่อลิตร ถ้าเป็นระยะเวลา 1 ปี เศรษฐกิจจะชะลอตัวที่ 0.2% แต่หากน้ำมันดีเซลแพงขึ้น 5 บาทต่อลิตร เศรษฐกิจจะชะลอตัวลง 1% (ครึ่งปีเศรษฐกิจย่อตัว 0.5%) ดังนั้น จากเดิมที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เคยประเมินว่า GDP จะโตประมาณ 3.5% หากไม่มีสัญญาณการกระตุ้นเศรษฐกิจ เศรษฐกิจจะโตเหลือ 3% เนื่องจากราคาน้ำมันที่แพงขึ้นนั้น จะเป็นตัวบั่นทอนกำลังซื้อของประชาชน แสดงให้เห็นว่า ค่าครองชีพมีผลต่อการจับจ่ายใช้สอย และมีผลต่อแรงงาน         

ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยประเมิน GDP อยู่ในกรอบ 3-3.5% หากเศรษฐกิจโตอยู่ที่ประมาณ 3.5% หนี้ครัวเรือนอยู่ที่ประมาณ 90-91% โดยคาดการณ์ว่าหากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เศรษฐกิจไม่ฟื้น โตต่ำกว่า 3% สิ้นปีนี้หนี้ครัวเรือนจะอยู่ที่ประมาณ 93-95% ต่อ GDP ซึ่งบั่นทอนกำลังซื้อของประชาชน ทำให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้ยังไม่โดดเด่น
                  
สำหรับโครงการคนละครึ่ง เฟส 5 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังสนับสนุนให้มีโครงการนี้ ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะต้องใช้วงเงินสูงที่ 4.5 หมื่นล้านบาท แต่ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นหากแตะ 32 บาทต่อลิตร ในระยะเวลาอันสั้นภายใน 1 เดือน การใช้น้ำมันดีเซลจะอยู่ที่ประมาณ 50 ล้านลิตร ซึ่งประชาชนจะใช้เงินเพิ่มขึ้นเดือนละ 3,000 ล้านบาท ถ้าราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นแตะ 35 บาทต่อลิตร ประชาชนจะใช้เงินเพิ่มขึ้นเดือนละ 7,500 ล้านบาท หากเริ่มตั้งแต่เดือนมิ.ย. – เดือน ก.ย. 2565 ก่อนที่เศรษฐกิจจะฟื้นโดดเด่นนั้น เม็ดเงินจะหายไปประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ค่าครองชีพที่หายไป ก็จะบั่นทอนกำลังซื้อของประชาชน ที่เม็ดเงินจะหายจากระบบเศรษฐกิจอย่างน้อย 3 หมื่นล้านบาท ดังนั้น หากรัฐบาลสามารถใช้โครงการคนละครึ่ง เฟส 5 ด้วยเงื่อนไข 1,500 บาทต่อคน จะทำให้เม็ดเงินในเศรษฐกิจเพิ่มประมาณ 9 หมื่นล้านบาท เป็นการชดเชยอำนาจซื้อที่หายไป และทำให้เศรษฐกิจอยู่ในกรอบใกล้เคียง 3.5% ได้ แต่หากเป็นเงื่อนไข 1,000 บาท/คน ก็ถือว่ายังสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้บ้าง         

ในส่วนของการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จากการสำรวจพบว่าแรงงานอยากให้มีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ให้มีความสอดคล้องกับค่าครองชีพ ซึ่งปัจจุบันอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ประมาณ 4-5% ขณะเดียวกัน การปรับค่าแรงขั้นต่ำก็ควรเป็นไปตามไตรภาคีในแต่ละจังหวัด ซึ่งเมื่อค่าแรงขั้นต่ำสูงขึ้น แรงงานก็จะมีอำนาจซื้อมากขึ้นเช่นกัน โดยปัจจุบัน ค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 336 บาท การที่ลูกจ้างจะประท้วงขอขึ้นค่าแรงเป็น 492 บาทนั้น มีการปรับขึ้นถึง 10-20% ถือว่าอยู่ในสัดส่วนที่สูงมาก หากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจำนวนมาก จะเป็นการเร่งทำให้นายจ้างขาดสภาพคล่องทันที จากราคาต้นทุนที่สูงขึ้น ดังนั้น ควรยึดตามความสามารถของนายจ้างมากกว่า