นายกรณ์ กล่าวว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เรียกร้องให้รัฐบาลออกมาแก้ไขปัญหาราคาน้ำ พร้อมเสนอทางออกให้มากมาย นำไปสู่การประกาศโรงกลั่นบริจาคเงินเข้ากองทุนน้ำมันเดือนละ 8,000 ล้านบาท เป็นเวลา 3 เดือน เท่ากับ 24,000 ล้านบาท จนถึงวันนี้เงียบ ไม่รู้ว่าได้ดำเนินการไปแค่ไหนอย่างไร รวมถึงที่นายกฯ เรียก รมว.พลังงานฯ และ รมว.พาณิชย์ เข้าพบปัญหามันควรจะจบนับตั้งแต่วันนั้น เพราะข้อมูลของทั้ง 2 ท่าน ต้องมีครบถ้วน และมีอำนาจเต็มในการดำเนินการ ขนาดพวกเราไม่ได้เป็นรัฐบาล ยังสามารถติดตามข้อมูลจากทางราชการ เพื่อประเมินสถานการณ์ นำไปสู่แนวทางในการแก้ปัญหาได้
“การตั้งกรรมการมีคนนั่งล้อมวงตามวัฒนธรรมการทำงานราชการไทย ไม่มีใครกล้าพูดหรือเสนออะไร ท่านนายกฯ นั่งหัวโต๊ะว่าอย่างไรก็ต้องเป็นไปตามนั้น ซึ่งมันไม่ได้นำไปสู่การมีข้อสรุปหรือนโยบายใดๆ ที่สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้กับประชาชนได้ ขอย้ำว่า ประชาชนเดือดร้อน น้ำมันแพง ของแพง มันเป็นภาระกับประชาชนโดยตรง มันไม่ใช่ปัญหาที่จะแก้ได้ด้วยการตั้งคณะกรรมการชุดแล้วชุดเล่า จริงๆ การแก้ปัญหาไม่ใช่เรื่องยาก มีมาตรการและทางออกที่ชัดเจนอยู่แล้ว แต่มีคนในวงการทำให้ดูสลับซับซ้อนเพื่อที่สุดท้ายจะทำให้ไม่มีคำตอบ” นายกรณ์ กล่าว
หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวว่า วันนี้ที่รัฐบาลทำได้ทันทีคือการเก็บภาษีลาภลอย โดย รมว.คลัง มีอำนาจเต็มในการดำเนินการ ซึ่งทั้งโลกเขาพูดกันเรื่องนี้ หลายประเทศเขาก็ทำกัน ทั้ง อังกฤษ อเมริกา และล่าสุดก็อินเดีย ซึ่งมีโครงสร้างเหมือนประเทศไทย ทั้งนำเข้าน้ำมันดิบสูง มีอุตสาหกรรมโรงกลั่นที่สามารถกลั่นได้สูงเกินความจำเป็นในประเทศ และส่งออกได้มากเหมือนประเทศไทย ซึ่งอินเดียเชื่อในหลักเกณฑ์การค้าเสรี ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของกฎเกณฑ์กติกา เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน ซึ่งถ้าในสถานการณ์ปกติรัฐบาลจะไม่เข้าไปแทรกแซง เพราะเน้นในเรื่องความโปร่งใส และเป็นธรรม แต่สถานการณ์ปัจจุบัน มันไม่ปกติ เพราะฉะนั้นเพื่อสังคมและความอยู่รอดของประชาชน รมว.คลังอินเดีย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเก็บภาษีลาภลอยจากโรงกลั่นที่ฟันกำไรมหาศาล เพื่อนำเงินภาษีเข้ารัฐ กลับคืนมาสู่ประชาชน