"ชูวิทย์" แฉรัวๆ ตำรวจจับแพะ? บูชายัญ “ผับจินหลิง” ผู้ต้องหาเหลือ 6 คน หนึ่งในนั้นเป็น รปภ. ซึ่งควรกันเป็นพยาน หลักฐานที่เอาไปให้ตำรวจ ไม่ได้เอาไปใช้สักนิด จับแพะไทยมาบังช้างจีน จะแฉไม่หยุด หากทิศทางคดีไปในทางที่ไม่ชอบ
ทุนจีนสีเทา วันนี้ (12 ธ.ค.65) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรครักประเทศไทย เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับการทำงานของตำรวจในคดีนายทุนจีนสีเทา ผับจินหลิง โดยนายชูวิทย์ระบุว่า หลังจากคลำทางทั้งทีม บิ๊กโจ๊ก (พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร.) “สืบ” ทีม บชน. บิ๊กจ้าว ( พล.ต.ท. ธิติ แสงสว่าง) ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล “สอบ” แบ่งทีมกันวุ่นวาย ไม่ประสานงาน แต่ประสานงาแทน
นายชูวิทย์ ระบุว่าหลักฐานที่เอาไปให้ตำรวจ แท้จริงไปไม่ถึง ไม่ได้เอาไปใช้สักนิด จะด้วยสาเหตุใดก็แล้วแต่ เมื่อพลเมืองอย่างตนขับเคลื่อน ต้องการกำจัด “ทุนจีนสีเทา” ให้สิ้นซากในสังคมไทย กลายเป็นทำท่ารับเรื่องถ่ายรูปแล้วโยนทิ้ง ต่างคนต่างเก่ง ต่างคนต่างไปคนละทาง คนหนึ่งเก่งออกจอ อีกคนก็เก่งแบบข้ามาคนเดียว ข้อมูลในสำนวนรั่วไหลมาถึงมือตน จากตำรวจน้ำดีที่มีคุณธรรมแต่ไม่โต จึงต้องเปิดมาแฉกันต่อให้สังคมได้รู้เช่นเห็นชาติ
“แปลกประหลาดอันดับต้นๆ จากเรื่องแปลกทั้งหมดของคดี “ตู้ห้าว” คือ นอกจากเหลือผู้ต้องหาคดีนี้ เพียง 6 คน ขอย้ำ ว่าผู้ต้องหา 6 คน ไม่ใช่เหลือฉี่สีม่วง 6 คน หนึ่งในนั้น คือ การเอาพนักงาน รปภ. ที่เฝ้าอยู่หน้าจินหลิงผับ ที่สมควรเป็นพยาน มาเป็นเจ้าของสถานที่ โดนข้อหาเปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต แถมยังยัดเข้าคุกเสียด้วย แม้ว่าจะปล่อยออกมาในภายหลัง นั่นหมายความว่า แทนที่จะได้พยานกลับจับคนบริสุทธิ์เข้าคุก ตั้งข้อหาบังความผิดให้กับตัวใหญ่ เป็นแค่ รปภ. จะเป็นเจ้าของได้อย่างไร”
นายชูวิทย์ แฉซ้ำว่า สุดประหลาดล้ำลึก ซ่อนเงื่อน กลั่นแกล้ง โยนความผิด จับยามคนไทยบ้านนอกไม่รู้เรื่อง แต่กลับปล่อยคนจีนสีเทา การได้พยานสัก 1 คน ที่จะให้ข้อมูลใครเข้าออกตลอดระยะเวลา เพราะเป็น รปภ. มาตั้งแต่เปิดบริการ ย่อมเป็นพยานชั้นหนึ่ง แต่กลับเอาไปยำเข้าคุกจนเขากลัวหัวหด
นายชูวิทย์ ย้ำว่าสถานที่นี้เป็นสถานที่มั่วสุมเสพยา ไม่ใช่สถานบริการ อย่างที่พยายามปั้นเรื่องในสำนวนให้ “ตู้ห่าว” รอดคดียาเสพติด สรุปง่ายๆ แต่ฟังยากระคายหู คือ คดีนี้ไม่มีพยาน แม้แต่คนเดียว อย่างนี้ “ตู้ห่าว” จะไม่หลุดได้อย่างไร หากเข้าใจผิด ช่วยตอบมาที เรื่องแปลกจะแฉไม่หยุด หากทิศทางคดีไปในทางที่ไม่ชอบ เพื่อให้สังคมตระหนักว่า การต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม แค่เพียงต้นน้ำ ยังยากลำบากถึงปานนี้ แล้วหากไปถึง “กลางน้ำ” (ชั้นอัยการ) ยัน “ปลายน้ำ” (ชั้นศาล) จะเบาหวิวแค่ไหน ขอย้ำให้คดีนี้ไปถึงระดับ “อธิบดีอัยการ” ที่ประวัติขาวสะอาด ไม่เอาเทาๆ หารือว่าเป็นคดีอาชญากรรมข้ามชาติหรือไม่
“เรื่องนี้เอาให้ชัด ไม่งั้นตำรวจไม่มีสิทธิ์ ทำสำนวนก็ยกฟ้อง จึงต้องมีอัยการเข้าร่วมเป็นพนักงานสอบสวนด้วย เพราะถือว่าเป็น คดีนอกราชอาณาจักร เป็นอาญชกรรมข้ามชาติชัดๆ นอกจากยานำเข้าจากจีนแล้ว คนเสพยังเป็นต่างด้าวจีน คนขายก็ต่างด้าวจีน จำนวนคนจีนเต็มร้าน ยังแผ่ไปถึงวีซ่ามั่วของจีนเทา นอมินีซื้อบ้านกันเอิกเกริกยกหมู่บ้าน รถหรู เงินสด ก็จีนอีก แค่นี้ไม่พอที่จะยกระดับจาก อาชญากรรมธรรมดา เป็นอาชญากรรมข้ามชาติ อีกหรือ คนไทยได้แค่เสิร์ฟก็ยังไล่กลับบ้านนอก ไม่สอบเป็นพยาน แต่ใช้ผืนแผ่นดินไทยทำผิดกฎหมายทั้งหมดชัดเจน และแทนที่จะเอาคนที่อยู่ในสถานที่วันเกิดเหตุ ทั้งฉี่ม่วง ทั้งฉี่ขาว รวม 220 คน จีนล้วน จับเป็นผู้ต้องหา”
นายชูวิทย์ ระบุอีกว่า หากเอามือถือตรวจการโอนเงิน การนัดหมายจาก Wechat ที่จีนใช้ไปตรวจสอบ พาสปอร์ตก็ใช้วีซ่ามั่วจากการเรียนภาษา มูลนิธิผี ของไทย ตำรวจ ตม. อีกเหมือนกัน ไม่พลาด กลับปล่อยไปจนเหลือติดคุกที่ ตม. อยู่แค่ 76 คน ไม่รู้จะเอายังไง พวกจีนถือโอกาสล้างข้อมูลมือถือกันหมดเรียบร้อย ทำกันได้อย่างไร ช่วยตอบสังคมที ผบ.ตร. ที่วันนี้ท่านลุกขึ้นมาเป็น “ยักษ์ตื่น” หากท่านเป็นคนดี ลงมาคุมคดีเองย่อมถือเป็นเรื่องดี เพราะเป็นงานใหญ่คดีระดับชาติครั้งสุดท้ายก่อนพ้นชีวิตราชการ
“ขณะนี้ วงดุริยางค์ตำรวจ บรรเลงเพลงประสานเสียงทำนองเดียวกันว่า “ชูวิทย์เข้าใจผิด ชูวิทย์เข้าใจคลาดเคลื่อน ชูวิทย์ไม่รู้ตอบสังคมทีว่า จับแพะคนไทยมาทำไม ยุคนี้น่าจะเลิกได้แล้ว ยิ่งคดีใหญ่สังคมจับจ้องแบบนี้ยังเอา แพะไทยมาบังช้างจีนทั้งตัว มันไหวหรือ” นายชูวิทย์ระบุ