เตรียมแจ้งข้อหา ตู้ห่าว ก่ออาชญากรรมข้ามชาติ

View icon 86
วันที่ 14 ธ.ค. 2565 | 07.07 น.
สนามข่าว 7 สี
แชร์
สนามข่าว 7 สี - หลังจากที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ไปร้องกับอัยการสูงสุด เพื่อขอให้พิจารณาเอาผิดนาย "ตู้ห่าว" เป็นคดีนอกราชอาณาจักร และอาชญากรรมข้ามชาติ เพราะยาเสพติดที่พบในผับจินหลิง เป็นการนำเข้ามาจากจีน หลังตำรวจไม่ยอมตั้งข้อหาดังกล่าว ล่าสุด ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกมาระบุว่าเตรียมแจ้งข้อหาอาชญากรรมข้ามชาติมกับนาย "ตู้ห่าว" แล้ว เพราะไปพบหลักฐานการวางแผนเชิญชวนคนจีนเข้ามาทำผิดในไทยชัดเจน

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายชูวิทย์ นำพยานหลักฐานไปขอเข้าพบอัยการสูงสุด เพื่อขอให้พิจารณาคดีของนาย "ตู้ห่าว" เป็นคดีนอกราชอาณาจักร และอาชญากรรมข้ามชาติ โดยให้เหตุผลว่ายาเสพติดที่พบในผับจินหลิง เป็นการนำเข้ามาจากจีน และตำรวจแจ้งข้อหาเกี่ยวกับยาเสพติดกับผู้ต้องหาเท่านั้น ไม่ยอมแจ้งข้อหาฟอกเงิน และสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด การไม่แจ้งข้อหาฟอกเงิน จะทำให้จับกุมตัวได้เพียงผู้ต้องหาตัวเล็ก ๆ แต่ตัวการใหญ่หลุดหมด ซ้ำการแยกกันทำงานระหว่าง พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล ให้ดูแลงานสืบสวน และให้ พลตำรวจโท ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ดูแลงานด้านการสอบสวน จะทำให้เรื่องวุ่นวายกว่าเดิม

เรื่องนี้ร้อนไปถึง พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันเรื่องนี้กับสื่อมวลชนว่า การทำงานของทั้ง 2 คนไม่ได้ขัดแย้งกัน เพียงแต่ผลการสอบสวนในช่วงแรกพบว่า หัวหน้า รปภ. รับเป็นผู้ดูแลผับแต่เพียงผู้เดียว พนักงานสอบสวนจึงต้องตั้งสำนวนคดี และแจ้งข้อหาไปแบบนั้นก่อน จากนั้นเมื่อสืบสวนจนพบว่าเจ้าของผับเป็น นายตู้ห่าว จึงสั่งไม่ฟ้องหัวหน้า รปภ.คนนั้น และการขยายผลทางคดีล่าสุด ตำรวจพบหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่า คดีนี้เข้าข่ายเป็นคดีอาชญากรรมข้ามชาติแล้ว

สอดคล้องกับที่ พลตำรวจโท ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ยืนยันว่า ไม่ได้มีปัญหาในเรื่องการทำงานกับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เหมือนที่นายชูวิทย์ตั้งข้อสังเกต และการดำเนินคดีนี้ ก็ทำไปตามขั้นตอนและพยานหลักฐานที่มี กรณีการดำเนินคดีกับ หัวหน้า รปภ.ของผับจินหลิง แทนที่จะดำเนินคดีกับผู้ดูแลตัวจริง เป็นเพราะขณะเข้าจับกุม ไม่มีบุคคลใดแสดงตัวเป็นเจ้าของ หรือผู้ดูแล ยกเว้นหัวหน้า รปภ.ที่ออกมาอ้างตัวว่าเป็น "ผู้ดูแลผับ" และชาวจีนที่อยู่ภายในผับ ก็ไม่มีบุคคลใดแสดงตัวออกมา ทั้งนี้ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการให้การช่วยเหลือบุคคลใดบุคคลหนึ่งในคดีนี้แต่อย่างใด และใน 1-2 วันนี้ จะมีการแถลงข้อมูลความคืบหน้าในการดำเนินคดีนี้อีกที เพื่อคลายข้อสงสัยของสังคม

ต้องจับตาดูการประชุมใหญ่ในวันศุกร์ที่ 16 ธันวาคมนี้ ที่จะมีการเรียกประชุมคณะทำงานทั้งฝ่ายสืบสวน สอบสวน ปราบปราม และตำรวจนครบาล มาติดตามความคืบหน้ากันอีกครั้ง หากพบความผิดว่าเข้าข่ายเป็นคดีอาชญากรรมข้ามชาติจริง ก็จะส่งให้อัยการสูงสุดพิจารณา ออกคำสั่งว่าจะมอบหมายให้ใครเป็นหัวหน้าคณะทำงาน หรือทำงานร่วมกัน เนื่องจากเป็นคดีนอกราชอาณาจักร

ขณะที่ในช่วงเย็นวานนี้ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ก็เข้าไปให้เข้าปากคำกับคณะกรรมกาาตรวจสอบข้อเท็จจริง สำนักงานจเรตำรวจแห่งชาติ เกี่ยวกับตำรวจตรวจคนเข้าเมือง 4 และ 5 ที่มีความเชื่อมโยงกับมูลนิธิและสมาคมเถื่อน ในการออกวีซ่านักศึกษาแก่ชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีนเครือข่ายนายตู้ห่าว กว่า 7,000 คน เฉพาะแค่จังหวัดข่อนแก่นที่เดียว มีมากถึง 3,000 คน และยังเชื่อว่ามีเจ้าหน้าที่ทำลักษณะนี้อีกหลายพื้นที่ ระหว่างปี 2563-2564 

นายชูวิทย์ ยังตั้งข้อสังเกตถึงตำรวจตรวจคนเข้าเมืองนายหนึ่ง ที่ขับรถหรู และอยู่คอนโดมีเนียมย่านหลังสวน ทำไมถึงมีทรัพย์สินเหล่านี้ อีกทั้งก่อนจะมาพบจเรตำรวจแห่งชาติ มีบุคคลติดต่อมาเพื่อขอละเว้นส่งรายชื่อของเขามาไปตรวจสอบ แต่นายไม่ละเว้น พร้อมเดินหน้าเอาผิด แม้จะเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

สำหรับการสอบปากคำในวันนี้ มีพลตำรวจโท วีระ จิรวีระ รองจเรตำรวจแห่งชาติ เป็นประธาน พร้อมคณะทำงานอีก 10 นาย ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กำชับให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน มีรายงานว่าพบตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเกี่ยวข้องมากถึง 50 นาย เคยปฏิบัติงานในสังกัดตำรวจตรวจคนเข้าเมือง 4 และ 5 ซึ่งคณะกรรมการฯ ลงพื้นที่ตรวจสอบแล้ว และกำลังตรวจสอบเส้นทางการเงิน โดยโทษทางวินัยร้ายแรงสุด คือ ไล่ออกจากราชการ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง