เช้านี้ที่หมอชิต - แม้ชู้กับครอบครัวทั้งหมดจะโดนอดีตรองนายกรัฐมนตรีแจ้งความข้อหาร่วมกันฉ้อโกง แต่ ทนายตั้ม ก็ยังเดินหน้าต่อ เปิดไพ่สู้ พาลูกความฟ้องกลับฐานแจ้งความเท็จ ด้านอัยการแจ้งคดีอดีตรองนายกฯ ที่โดนผู้ต้องหาร่วมกันฉ้อโกงสินสอด รอผลสอบเพิ่มก่อนครบผัดฟ้อง 15 มกราคม นี้
นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน พร้อมด้วย นาย ก. (นามสมมุติ) ลูกความ เดินทางไปแจ้งความดำเนินคดี อดีตรองนายกรัฐมนตรีชื่อย่อ ย.ยักษ์ ในข้อหาแจ้งความเท็จและให้การเท็จที่สถานีตำรวจนครบาลบางยี่ขัน
ทนายตั้ม กล่าวว่า วันนี้พานาย ก. มาแจ้งความดำเนินคดีกับอดีตรองนายกรัฐมนตรี ในข้อหาแจ้งความเท็จ และให้การเท็จ เนื่องจากมีหลายอย่างที่การแจ้งความไม่เป็นความจริง เช่น เรื่องที่อดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. บอกว่าได้ไปสู่ขอฝ่ายหญิง ทำพิธีหมั้นและให้สินสอด ยืนยันว่าไม่มีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง เป็นการแต่งเติมข้อเท็จจริงเพื่อให้เข้าข้อกฎหมาย ว่าตัวเองสามารถเรียกคืนทรัพย์สินหรือสินสอดที่เคยให้กับฝ่ายหญิงได้ โดยอดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. มีภรรยาที่จดทะเบียนสมรสมา 10 ปีแล้ว
อีกประเด็นที่ ทนายตั้ม กล่าวถึงคือ หลังจากที่ตนเองนำเรื่องนี้มาเปิดไปวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา ก่อนจะแถลงข่าวในช่วงเวลา 10.00 น. ของวันที่ 9 มกราคม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. ได้ใช้เล่ห์กลในการจะขอคืนทรัพย์สิน โดยการทำตัวเองให้โสด เพื่อให้สามารถแจ้งความและฟ้องร้องในคดีต่าง ๆ ได้ ก่อนแถลงข่าว 1 ชั่วโมง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. ได้ไปทำเรื่องหย่ากับภรรยาที่ว่าการอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ในเวลา 08.53 น. ซึ่งก็ได้นำหลักฐานส่วนนี้มามอบให้กับพนักงานสอบสวนด้วย
นอกจากนี้ นายษิทรา ยังกล่าวอีกว่า เรื่องเงินและทรัพย์สินต่าง ๆ ที่อ้างว่าได้ให้ฝ่ายหญิงเกือบ 20 ล้าน ก็เป็นการอ้างลอย ๆ ไม่มีหลักฐานการโอนและการเบิกถอน แต่เชื่อว่าอาจจะเคยให้เงินจริงในฐานะชู้รัก แต่ไม่ได้มากถึง 10 กว่าล้าน
ส่วนประเด็นที่ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. อ้างว่ารู้จักกับฝ่ายหญิง สมัยเป็นแคดดี และให้เงินไปทำศัลยกรรม เพราะรู้จักกันมากว่า 10 ปีนั้น ไม่เป็นความจริง ปัจจุบันฝ่ายหญิงอายุ 25 ปี หากย้อนกลับไป 10 ปี ฝ่ายหญิงก็มีอายุ 15 ปี ซึ่งเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
ส่วนประเด็นที่หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าทำไมฝ่ายหญิงถึงชอบถ่ายรูปลับเอาไว้ เป็นการถ่ายเพื่อมาแบล็กเมล์ภายหลังหรือไม่ หลักฐานที่ตนมียืนยันได้ว่าเป็นการถ่ายภาพลับแล้วส่งให้กันทั้งสองฝ่าย รวมถึงประเด็นที่ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. อ้างว่าไม่ทราบว่าฝ่ายหญิงมีสามีอยู่แล้ว ตนก็มีหลักฐานแช็ตไลน์ชัดเจนว่า อดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. ทราบดีว่าฝ่ายหญิงมีสามีอยู่แล้ว
สำหรับเรื่องหลักฐานแช็ตที่ ทนายตั้ม อ้างว่ามีหลักฐานแช็ตไลน์ชัดเจนว่า อดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. ทราบดีว่าฝ่ายหญิงมีสามีอยู่แล้ว
อีกหนึ่งประเด็นที่มีการเผยแพร่หนังสือแจ้งความคืบหน้าการสอบสวน ซึ่งเป็นข้อสรุปสำนวนส่งอัยการ ที่พันตำรวจโทวันชัย พันธพัฒน์ สารวัตรสอบสวน สน.บางยี่ขัน ส่งถึง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ย. ในฐานะผู้เสียหาย โดยมีการระบุตามที่ท่านได้แจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาต่อพนักงานสอบสวน ผู้ต้องหา 4 ราย ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกง สำนวนหลักฐานที่อดีตรองนายกรัฐมนตรีมาแจ้งความไว้ สำนวนได้ถูกส่งถึงอัยการตลิ่งชันแล้ว
ผู้สื่อข่าวจึงไปสอบถาม นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองอธิบดีอัยการสำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน (สคช.) ในฐานะรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ว่าความคืบหน้าเกี่ยวกับสำนวนที่อดีตรองนายกรัฐมนตรีแจ้งความดำเนินคดีกับอดีตสาวคนสนิทและครอบครัว ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกง ต่อพนักงานสอบสวน สน.บางยี่ขัน โดยได้รับแจ้งจาก นายจิระประวัติ แบบประเสริฐ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาตลิ่งชัน อยู่ในขั้นตอนใด ซึ่งรองอธิบดีอัยการสำนักคุ้มครองสิทธิฯ แจ้งว่าคดีดังกล่าวเบื้องต้นพนักงานสอบสวน สน.บางยี่ขัน ได้ยื่นคำร้องผัดฟ้องผู้ต้องหา ครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2565, ครั้งที่ 2 วันที่ 22 ธันวาคม 2565, ครั้งที่ 3 วันที่ 28 ธันวาคม 2565, ครั้งที่ 4 วันที่ 3 มกราคม 2566 และ ครั้งที่ 5 วันที่ 9 มกราคม 2566 ซึ่งเป็นการฝากขังครั้งสุดท้าย
สำหรับความผิดคดีแขวง ซึ่งสามารถยื่นคำร้องผัดฟ้องได้ 5 ครั้ง ๆ ละ 6 วัน รวม 30 วัน ซึ่งจะครบกำหนดวันสุดท้ายวันที่ 15 มกราคมนี้ โดยพนักงานสอบสวน สน.บางยี่ขัน สรุปสำนวนส่งให้อัยการคดีอาญาตลิ่งชัน 2 พิจารณาเมื่อวันที่ 10 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งพนักงานอัยการต้องพิจารณาสั่งคดีภายในวันที่ 15 มกราคมนี้ ตามกฎหมาย
เบื้องต้นเมื่อพนักงานอัยการตรวจคำให้การและพยานหลักฐานในสำนวนแล้ว พบว่าคำให้การของอดีตรองนายกรัฐมนตรี ผู้เสียหายยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ รวมทั้ง 1 ในผู้ต้องหาได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมเข้ามาให้อัยการพิจารณาด้วย