นักธุรกิจหนุ่มหลงกลมิจฉาชีพ สูญ 4.5 ล้าน อ้างเป็น ก.พาณิชย์ ให้กดลิงก์

นักธุรกิจหนุ่มหลงกลมิจฉาชีพ สูญ 4.5 ล้าน อ้างเป็น ก.พาณิชย์ ให้กดลิงก์

View icon 323
วันที่ 19 ม.ค. 2566 | 14.31 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
มิจฉาชีพมีข้อมูลส่วนตัว บอกตรงทุกอย่าง นักธุรกิจหนุ่มหลงกลมิจฉาชีพ อ้างเป็น ก.พาณิชย์ ให้กดลิงก์อัปเดตข้อมูล ภายในไม่กี่นาทีสูญเงินฝาก 3.9 ล้าน เป็นหนี้บัตรเครดิตอีก 6.5 แสน โอดธนาคารอายัดช้า ต้องรอให้ไปลงบันทึกประจำวัน

วันนี้ (19 ม.ค.66) ผู้เสียหายซึ่งเป็นชายหนุ่มนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เข้าร้องเรียนกับ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด กรณีมิจฉาชีพดูดเงินออกจากบัญชีเงินฝากธนาคาร และบัตรเครดิต ได้รับความเสียหาย 4.5 ล้าน

ผู้เสียหาย เล่าว่า เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.65 มีบุคคลอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่กรมธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ โทรศัพท์ติดต่อมาให้อัปเดตข้อมูล เพื่อให้สะดวกต่อการทำธุรกรรมออนไลน์กับธนาคาร แต่ตอนแรกก็ไม่เชื่อ เพราะรับรู้ข่าวสารว่ามีกลุ่มมิจฉาชีพกำลังออกอาละวาดหลอกเอาเงินจากบัญชีธนาคาร จึงสอบถามกับบุคคลดังกล่าวไป ว่ามีข้อมูลส่วนตัวของตนเองมากน้อยเพียงใด

จากนั้นมิจฉาชีพ ก็ได้ส่งข้อมูลส่วนตัว และของบริษัท ซึ่งเป็นข้อมูลละเอียดเชิงลึก ที่เป็นข้อมูลเดียวกันกับในสารบบของกระทรวงพาณิชย์ จนทำให้หลงเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่จริง หรือตัดสินใจทำตาม โดยมิจฉาชีพดังแนะนำให้ติดต่อกันในแอปฯ ไลน์ จากนั้นได้ส่งลิงก์มาให้กดติดตั้งในโทรศัพท์มือถือ

ต่อมาก็มีข้อความส่งมาจากธนาคารว่ามีการโอนเงินออกจากบัญชีเงินฝากธนาคาร 3.9 ล้านบาท และมียอดตัดบัตรเครดิตอีก 6.5 แสนบาท เป็นการทำธุรกรรมหลายครั้งภายในเวลา 15 นาที จากนั้นผู้เสียหายได้พยายามติดต่อธนาคารเพื่อระงับธุรกรรมการ แต่ดำเนินการไม่ได้ ทางธนาคารอ้างว่าต้องไปลงบันทึกประจำวันกับตำรวจก่อน จนมิจฉาชีพดูดเงินออกไปจนบัญชีเหลือยอดเงินเพียง 131 บาท เท่ากับเสียเงินไป แถมยังต้องเป็นหนี้บัตรเครดิตอีกด้วย

ด้านนายเอกภพ ตั้งข้อสังเกตว่าข้อมูลของผู้เสียหายที่มิจฉาชีพมี เป็นข้อมูลเชิงลึกที่แจ้งไว้กับกระทรวงพาณิชย์ จึงจะประสานไปยังกระทรวงพาณิชย์ว่าทำไมข้อมูลของประชาชน จึงหลุดรอดออกไปได้ ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะต้องไปกำหนดมาตรการให้ธนาคารต่างๆ ปฎิบัติเพื่อให้ประชาชนที่เป็นเหยื่อสามารถระงับธุรกรรมของมิจฉาชีพให้รวดเร็ว ทันเวลา ถือเป็นการช่วยเหลือและป้องกันภัยให้กับประชาชนอีกทาง