ถกไม่เถียง : เมียหลวงช้ำ ผัวถูกรางวัลที่ 1 ก่อนตายปิ๊งรักแม่ค้าสาว สุดท้าย เมียน้อยฮุบสมบัติเกลี้ยง!

View icon 77
วันที่ 23 ม.ค. 2566 | 16.21 น.
ถกไม่เถียง
แชร์
ถกไม่เถียง - มีสามี-ภรรยาอยู่กินกันมา 35 ปี แต่งงานจดทะเบียนสมรสกันถูกต้องตามกฎหมาย มีอยู่วันหนึ่งสามีถูกหวยรางวัลที่ 1 นำเงินไปซื้อบ้าน ซื้อที่ดิน ซื้อรถ มาเป็นสมบัติร่วมกัน ต่อมาสามีไปมีเมียน้อย และสามีเสียชีวิตระหว่างอยู่กับเมียน้อย ทำให้เมียน้อยฮุบสมบัติไปหมด แต่ศาลมีคำสั่งให้แบ่งทรัพย์สินกันคนละครึ่ง แต่เมียน้อยกลับยักย้ายถ่ายเทเปลี่ยนสมบัติที่มีอยู่เป็นชื่อตัวเอง

ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยัง บ้านเลขที่ 20/688 เขตสายไหม กทม. พบกับ นางจันทร์เพ็ญ เพ็ชรวงศ์ อายุ 66 ปี เล่าให้สื่อฟังว่า ตนเองแต่งงานกับสามีตอนอายุ 17 ปี โดยสามีทำงานเป็นข้าราชการทหารอากาศ หลังแต่งงานตนเองกับสามีได้เปิดร้านขายอาหารอยู่ในค่ายทหารอากาศ ย่านสะพานใหม่ จนกระทั่งเมื่อปี 2553 สามีกับตนเองถูกรางวัลที่ 1 ได้เงินมา 6,000,000 บาท ตนเองกับสามีก็เลยจัดเลี้ยงฉลองให้กับคนแถวบ้านที่มาแสดงความยินดี จากนั้นสามีก็นำเงินที่ถูกหวยไปซื้อรถยนต์กระบะ ซื้อที่ดินในจังหวัดสุพรรณบุรี และซื้อบ้านในจังหวัดปทุมธานี โดยใส่เป็นชื่อของสามีไว้

ต่อมาเมื่อปี 2554 ได้มีแม่ค้าขายไก่ทอดมาติดพันกับสามีตนเอง เพราะเห็นว่าสามีตนเองมีเงินถูกรางวัลที่ 1 ตนเองไม่ทราบมาก่อนว่า 2 คนนี้ แอบคบกัน เพราะฝ่ายหญิงได้มีสามีอยู่แล้ว จนมีอยู่วันหนึ่งสามีตนเองได้หายออกจากบ้านไป และได้ไปอยู่กินกับหญิงสาวคนดังกล่าว และได้ลาออกจากข้าราชการทหาร จากนั้นทั้งคู่ได้พากันไปอยู่ที่อื่น

จนกระทั่งเมื่อปี 2558 เมียน้อยของสามีได้เดินทางมาหาตนเองที่บ้าน บอกว่า สามีของตนเองเสียชีวิตแล้ว และนำเอกสารมาให้เซ็น เพื่อจะไปเบิกเงินบำนาญของสามีที่เป็นข้าราชการทหารอากาศ แต่ตนเองไม่เซ็นให้ เนื่องจากสิทธิตรงนี้ตนเองต้องได้รับ จากนั้นทางเมียน้อยได้ยื่นศาลขอเป็นผู้จัดการมรดก แต่ศาลมีคำสั่งให้ตนเองและเมียน้อยร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดก แต่ฝั่งเมียน้อยกลับครอบครองทุกอย่างไว้คนเดียว และยังนำรถยนต์ที่สามีตนเองซื้อไว้ไปเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อของเมียน้อยอีก ตอนนี้ชีวิตตนเองลำบากมาก ไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อข้าวสารกิน อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือทางด้านกฎหมาย เพราะตนเองไม่รู้เลยว่าต้องทำอย่างไร ตอนนี้เงินจะขึ้นรถเมล์ไปศาลยังไม่มีเลย ที่ผ่านมาตนเองเคยไปยื่นเรื่องที่ยุติธรรมจังหวัดสุพรรณบุรีมาแล้ว แต่เรื่องก็เงียบหายไป