เช้านี้ที่หมอชิต - หลังจากดาราสาวชาวไต้หวันออกมาเปิดเผยถึงการตั้งด่านเรียกรับเงินของตำรวจไทย ก็มีข้อมูลจากฝั่งตำรวจออกมาหักล้าง ในอีกด้านหนึ่ง นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม จึงเรียกร้องให้คนไทยเสพข่าวอย่างมีสติ เนื่องจากตอนนี้ ตำรวจพยายามเบี่ยงเบนประเด็น เพราะแท้ที่จริงแล้วประเด็นหลักที่ตำรวจต้องตอบคือเรื่องมีการเรียกรับเงินจริงหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็น พาสปอร์ต เมา หรือครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า
นายอัจฉริยะ มองว่า บุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่ประเด็นหลัก จึงไม่เห็นด้วยที่ตำรวจเอาภาพจากกล้องวงจรปิด ในขณะที่ดาราสาวกำลังเดินสูบบุหรี่ไฟฟ้าภายในโรงแรมแห่งหนึ่ง เอาไปให้เพจเฟสบุ๊ก ดาวแปดแฉก เผยแพร่ เพื่อให้คลิปนี้ไปหักล้างกับประเด็นที่ว่า ตำรวจยัดบุหรี่ไฟฟ้าให้ดาราคนดังกล่าวหรือไม่
.
จากนั้นจึงตั้งข้อสังเกตและเรียกร้องไปที่ ผู้บังคับบัญชาตำรวจแห่งชาติ ดังนี้
1. เนื่องจากการตั้งด่านของกองบัญชาการตำรวจนครบาล ตำรวจต้องมีกล้องติดหมวกทุกคน ฉะนั้นควรไปกู้ภาพกล้องติดหมวก ณ วันเกิดเหตุ เพื่อนำมาเผยแพร่ให้ประชาชนได้เห็นชัด ๆ
2. ตำรวจทั้ง 7 นาย ที่ปฏิบัติหน้าที่ในวันนั้น มีโทรศัพท์มือถือทุกนาย เพื่อใช้บันทึกภาพและเสียง ฉะนั้นต้องเอามือถือทั้ง 7 เครื่อง ไปให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ปอท. ตรวจสอบ ประเด็นนี้จึงเป็นคำถามว่าเจ้าหน้าที่ได้ทำหรือยัง
3. ถ้าตำรวจยืนยันว่า ดาราสาวคนดังกล่าว พกบุหรี่ไฟฟ้าติดตัว ก็ควรจับกุมตัวเพื่อดำเนินคดี เพราะบุหรี่ไฟฟ้าถือว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมายในประเทศไทย แต่ตำรวจกลับเรียกรถแท็กซี่ ไปส่งกลุ่มชาวไต้หวันดังกล่าวที่โรงแรม อย่างนี้คือการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่
4. การที่ตำรวจเรียกโชเฟอร์ขับแกร็บ 2 คน มาสอบปากคำ ทั้ง 2 คน ให้การไม่ตรงกัน คนแรกบอกว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวดังกล่าวเมาเอะอะเสียงดังโวยวายและเหมือนมีการทะเลาะกัน แต่ในขณะที่คนขับอีกคนอีกคันบอกว่า ได้กลิ่นแต่ไม่มั่นใจว่าเมาหรือไม่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มชาวใต้หวันไม่ได้มีพฤติกรรมเอะอะโวยวาย แบบที่คนขับรถคนแรกพูดหรือไม่
5. รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลด่วนสรุปเกินไปหรือไม่ว่า ผู้ใต้บังคับชาทั้ง 7 นาย ไม่ผิด
6. ที่ตำรวจบอกว่า กล้องหน้าสถานทูตจีนเสีย หรือขอไม่ได้ คุณอัจฉริยะบอกว่า เป็นไปไม่ได้ เพราะสถานที่ตรงนั้นคือพื้นที่ความมั่นคง นอกจากนี้ คุณอัจริยะก็มีข้อเสนอในเรื่องนี้ด้วย
