สนามข่าว 7 สี - เดือนกุมภาพันธ์ มีแต่คนบอกเป็นเดือนแห่งความรัก แต่ปีนี้ออกแนวดุ เกิดศึกหลายวงการ ล่าสุดเป็นศึกเสื้อกาวน์ เรื่องวุ่น ๆ ของเหล่าคุณหมอ ถึงขั้นไปแจ้งความปิดเพจชมรมแพทย์ชนบท กันเลยทีเดียว
ย้อนความกันระหว่าง แพทย์ชนบท กับ กลุ่มหมอที่ทำหน้าที่บริหารในกระทรวงสาธารณสุข เรียกว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน เริ่มเห็นความขัดแย้งเด่นชัดขึ้น ตั้งแต่นโยบายป้องกันและรักษาโรคโควิด-19 การจัดซื้อวัคซีนจนล้นคลัง รวมถึงความไม่ชอบมาพากลเรื่องการจัดซื้อเครื่องตรวจ ATK และการโยกย้ายภายในกระทรวง แบบที่เพจชมรมแพทย์ชนบท มักมีข้อมูลเชิงลึก เปิดออกมาตีแสกหน้าไปที่กระทรวงสาธารณสุข อย่างต่อเนื่อง
กระทั่งซัดกันหนักกับนโยบายกัญชา จนถึงขั้นเกิดวิวาทะท้ารบระหว่าง คุณหมอสุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ประธานชมรมแพทย์ชนบท กับนักการเมืองในพรรคภูมิใจไทย จน เสี่ยหนู อนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ต้องออกมาขอโทษ ประกาศหย่าศึก
แต่เรื่องราวดูเหมือนจะไม่จบง่าย ๆ กระทั่งมีคำสั่งย้าย คุณหมอสุภัทร จากผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ ไปเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลสะบ้าย้อย จนเกิดแรงกระเพื่อมเรียกร้องให้ทบทวนคำสั่ง และล่าสุดส่งฝ่ายกฎหมายไปแจ้งความปิดเพจแพทย์ชนบทแล้ว
เหมือนศึกนี้เริ่มดุเดือดมากยิ่งขึ้น เมื่อ ภาคีเพื่อนหมอสุภัทร เดินหน้ากดดันขอเหตุผลและความเป็นธรรมต่อคำสั่งโยกย้าย หมอสุภัทร ล่าสุดเมื่อวานนี้ (15 ก.พ.) ก็บุกไปสภา ยื่นเรื่องถึงประธานสภาฯ และคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ซึ่งมี นายศุภชัย ใจสมุทร สส.พรรคภูมิใจไทย เป็นประธาน เรียกร้องให้ตรวจสอบและเอาผิด นายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพราะมั่นใจว่าเป็นผู้สั่งการและแทรกแซงการโยกย้าย นายแพทย์สุภัทร พร้อมติดป้ายรณรงค์ "เขตปลอดพรรคภูมิใจไทย"
ด้าน หมอสุภัทร ก็เปิดใจว่า เป็นเรื่องที่เชื่อมโยงการเมืองแน่นอน เป็นความพยายามใช้กฎหมายปิดปาก ปิดกั้นการแสดงความเห็น และการทักท้วงของภาคประชาสังคมในช่วงนี้ใกล้เลือกตั้ง แต่ ชมรมแพทย์ชนบท จะรณรงค์ให้ประชาชนรับรู้นโยบายที่เหมาะสมกับสังคม และนโยบายไหนที่จะสร้างความเสียหาย และในพื้นที่ภาคใต้ ให้รอติดตามผลคะแนนการเลือกตั้ง เพราะถือว่าเป็นตัวสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นได้
ศึกเสื้อกาวน์คราวนี้จึงดูเหมือนจะยังไม่จบง่าย ๆ เพราะเพจชมรมแพทย์ชนบท ก็ยังปักหลักสู้ ต้องจับตาว่า กระทรวงสาธารณสุข จะปิดเพจชมรมแพทย์ชนบท ได้สำเร็จหรือไม่ และหากปิดได้จะเป็นการเติมเชื้อไฟให้ความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้นหรือเปล่า