การแก้ปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมายไร้การควบคุมโดยรัฐบาล คสช. มีการออกกฎหมายอย่างเข้มงวดและจับกุมอย่างจริงจัง ทำให้ที่สุด IUU ก็ประกาศปลดธงเหลืองของไทยให้กลับมาอยู่ในสถานะธงเขียว จนไทยได้รับการปลดสถานะกีดกันทางการค้าที่ถูกกีดกันหลายรายการ แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ก็ต้องแลกมาด้วยความอยู่รอดของอุตสาหกรรมประมง ที่แทบไปต่อไม่ได้ เนื่องจากสู้ไม่ไหวกับภาระต้นทุน และกติกาที่เข้มงวด
เมื่อไม่สามารถแบกรับภาระหนี้สินได้อีก ที่ผ่านมาจึงมีชาวประมงจำนวนมากทยอยประกาศขายเรือ และมีเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยซื้อเรือประมงที่จอดสนิทอยู่ริมทะเล รัฐบาลจึงต้องจัดสรรงบประมาณต่อเนื่อง เพื่อนำเรือประมงออกนอกระบบ โดยใช้งบประมาณไปแล้วเกือบ 1,000 ล้านบาท แต่คนในแวดวงอุตสาหกรรมประมงเองก็ยังมองว่าการเยียวยายังเป็นไปด้วยความล่าช้า และ การแก้ปัญหา IUU ณ วันนี้ ก็ยังเกาไม่ถูกที่คัน จึงเสนอให้รัฐบาลแก้ไขพระราชบัญญัติการทำประมง โดยปลดล็อกกฎหมายให้ชาวประมงกลับมายืนได้อีกรอบ เพราะกังวลว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป อุตสาหกรรมประมงอาจถึงคราวอวสาน
นับจากนี้ไปอีก 5 เดือน เป็นเวลาที่ใกล้จะครบวงรอบที่ IUU จะเข้ามาทำการประเมินการทำประมงที่ผิดกฎหมายและไร้การควบคุมของประเทศไทยอีกครั้ง
ทั้งยังมีสัญญาณเตือนมาจากอียู ถึงมาตรการที่ถูกมองว่าหย่อนยาน เรื่องความไม่กล้าบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังของเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะว่าขาดความรู้ความเข้าใจ ในเรื่องของหลักเกณฑ์ของการจับกุมเครื่องมือการทำประมงที่ผิดกฎหมาย รวมถึงการคัดกรองกลุ่มแรงงาน หรือ SOP ที่ยังมีขั้นตอนยุ่งยาก ทำให้จำนวนของผู้ที่ผ่านการคัดกรองต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ในขณะที่ความอยู่รอดของอุตสาหกรรมประมง ก็ยังเหมือนอยู่ในห้อง ICU
ท่ามกลางการแก้ปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมายและเสียงเรียกร้องของชาวประมง ยังมีส่วนที่ทางสมาคมประมงแห่งประเทศไทยและตำรวจมองตรงกัน นั่นคือภาคประมงต้องปรับตัว ปฏิบัติตามกฎหมาย ทำประมงอย่างยั่งยืน ไม่ใช่มุ่งแต่การค้า ขณะเดียวกัน การกำหนดกติกาก็ไม่ควรมองว่าชาวประมงคือผู้ร้าย ความสำคัญจึงต้องไปหาสมดุลให้เจอรักษาธงเขียวไว้ให้ได้ ควบคู่ไปกับความอยู่รอดของอุตสาหกรรมประมง