ทนายษิทราแฉ ชูวิทย์รับเงินสารวัตรซัว ไม่เชื่อได้มาแค่ 6 ล้านบาท

View icon 106
วันที่ 23 มี.ค. 2566 | 16.30 น.
ข่าวเย็นประเด็นร้อน
แชร์
ข่าวเย็นประเด็นร้อน - เมื่อวานนี้ ทนายษิทรา ได้ออกมาเปิดเผยรูปภาพเงินจำนวนมาก อยู่ในถุงกระดาษ 2 ใบ พร้อมระบุว่า "แฉไป ไถไป" ทำให้ชาวเน็ตต้องข้อสงสัยว่า บุคคลที่ทนายษิทรากล่าวถึงเป็นใคร ต่อมา นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้ออกมายอมรับว่า เงิน 2 ถุง ถุงละ 3 ล้านบาท ที่ทนายตั้มพูดถึงเป็นเงินของ "ซัว" เอามาให้ตนเองเพื่อให้หยุดโจมตี ผมเลยเอาเงินไปบริจาค ทำให้เรื่องนี้ร้อนระอุอยู่ในโซเชียล เนื่องจากมีการตอบโต้กันไปมา

จากกรณีที่เฟซบุ๊ก "ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ" ของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ทนายความชื่อดัง โพสต์ภาพเงินสดก้อนบรรจุถุงกระดาษ ระบุว่า "แฉไป ไถไป" คนที่คุณเห็นอาจจะไม่เป็นอย่างที่คิด หมดศรัทธา โดยระบุว่า ไถสีเทามา 50 ล้านบาท บริจาคเอาหน้าที่ละ 3 ล้านบาท สร้างภาพกลับตัวกลับใจไม่อยากให้มีอาชีพแบบนี้ สร้างประเด็นข่าวแล้วรีดไถ ใครยอมจ่ายก็ไม่พูดถึง คนที่บอกว่ารวยแล้วไม่เอาเงินให้คิดใหม่ เพราะยิ่งรวยยิ่งโลภ กลายเป็นที่วิจารณ์สนั่นโซเชียลฯ และคาดเดาไปต่าง ๆ นานา ว่าเป็นใคร ตามที่ได้นำเสนอข่าวไปแล้ว

ต่อมา ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้ออกมายอมรับว่าคนที่ทนายษิทราพูดถึงคือตน เงินที่เห็นคือเงินจากบิ๊กตำรวจที่ออกจากราชการแล้วนำมาให้ อ้างเป็นของสารวัตรซัว เอามาให้ตนเพื่อขอให้หยุดแฉ ตนบอกไปแล้วว่าไม่รับเคลียร์ แต่เขาก็พยายามยัดเยียดให้ ตนจึงเอาเงินไปบริจาคให้โรงพยาบาล 3 ล้านบาท จะเรียกตนเองว่า "นักบุญคนบาป โรบินฮู้ด หรือนักแฉใจบุญ" ก็ได้

ปรากฏว่าเฟซบุ๊ก ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เข้ามาคอมเมนต์ว่า "แหม่ พี่ชูวิทย์ ใจบุญจริง ๆ นี่ถ้าผมไม่โพสต์ จะมีคนรู้ไหมว่ารับเงินพวกนี้มา แต่ผมว่ามันคนละยอดกันเลยนะ"

ล่าสุด เมื่อเช้านี้ ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน ออกตั้งโต๊ะแถลงข่าวเรื่องนี้ว่า สำหรับ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ถือเป็นไอดอลที่ตนติดตามมาตลอด ซึ่งมีผู้ใกล้ชิดระบุว่า นายชูวิทย์เป็นคนที่ใช้เงินซื้อไม่ได้ แต่ตนได้ข้อมูลมาจากหลายสาย ซึ่งมีหลานนายชูวิทย์ด้วยคนหนึ่ง และตอนนี้คงมีใครหลายคนคิดว่าตนบ้าที่จะออกมาแฉนายชูวิทย์ แต่แล้วเจ้าตัวก็ออกยอมรับเองเพราะจำนนต่อหลักฐาน ว่าได้รับเงิน 6 ล้านบาท มาจากสารวัตรซัว ที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์จริง ซึ่งรูปเงินดังกล่าวเป็นรูปเมื่อปีก่อนที่รับมาจากสารวัตรซัว ตนเองตั้งข้อสงสัยว่า เงินในถุงน่าจะมีมากกว่า 6 ล้านบาท เพราะถุงที่ใส่เงินมามีความกว้าง 32 เซนติเมตร สูง 40 เซนติเมตร น่าจะมีเงินอยู่ในถุงทั้งหมด 10 ล้านบาท

นอกจากนี้ ตนยังทราบข้อมูลจากคนวงในอีกว่า นายชูวิทย์ มีกล่องดวงใจดวงหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ที่ทำธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้ากับกัญชา กล่องดวงใจดวงนี้เป็นผู้ที่พาสารวัตรซัว ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และเจ้าของเว็บพนันไปพบนายชูวิทย์ที่โรงแรมเดวิด เพื่อพูดคุยและให้เงินกัน

ตนเองอยากฝากคำถามถึงนายชูวิทย์ ที่เคยโพสต์เฟซบุ๊กถึงนายแทนไทย เมื่อวันที่ 21 มกราคม จากนั้นก็ไม่เคยโพสต์ถึงนายแทนไทยอีกนั้นเป็นเพราะอะไร เพราะว่ากล่องดวงใจนี้ พานายแทนไทยที่เป็นเจ้าของเว็บพนันไปพบเมื่อวันตรุษจีนหรือไม่ โดยจะร้องเรียนไปยังตำรวจสอบสวนกลาง ให้ตรวจสอบเงินสกุลดิจิทัลมูลค่ากว่า 50 ล้านบาท เข้าบัญชีกล่องดวงใจดวงนี้ ซึ่งเงินส่วนนี้เองที่ถูกนำไปบริจาคให้โรงพยาบาลและอื่น ๆ

หลังจากนี้ก็เตรียมใจแล้วว่าตนจะโดนอะไรบ้าง แต่ที่ออกมาแฉเป็นเพราะผิดหวังกับนายชูวิทย์ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 คนที่ตนเคยประกาศไว้ว่าจะไม่มีปัญหาด้วย

ทนายษิทรา กล่าวต่ออีกว่า ยืนยันเรื่องนี้ไม่ใช่เกมการเมือง เพราะตนไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง และไม่ได้รับงานจากพรรคการเมืองคู่แค้นของนายชูวิทย์ แต่ในอนาคตก็ยินดีที่จะร่วมมือกับนายชูวิทย์ เพื่อแฉโครงการทุจริตรถไฟฟ้า ไม่ใช่เพียงสีใดสีหนึ่ง หากนายชูวิทย์ไม่รังเกียจ

ต่อมา ช่วงเวลาบ่ายโมง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้อุ้มพระเจ้าตากมาตั้งโต๊ะแถลงข่าว พร้อมสาบานต่อหน้าพระว่ารับเงินจากสารวัตรซัวมาแค่ 6 ล้านบาท จริง ๆ หากพูดโกหกก็ขอให้เกิดความวิบัติแก่ตนเอง หากพูดความจริงก็ขอให้เกิดแต่ความเจริญ พร้อมแสดงเชิงสัญลักษณ์โดยการนำเหรียญมาหยอดใส่ตาชั่ง

นายชูวิทย์ เปิดเผยว่า ทนายตั้มรับข้อมูลจากนายเปา เด็กที่ตนเลี้ยงดูมาดั่งลูกตั้งแต่ยังเล็ก เพราะพ่อเขาติดคุก ส่วนแม่ก็แยกทางไป ตนส่งเสียให้เรียนโรงเรียนชื่อดังจนจบ แล้วก็มาติดตามตัวเอง กระทั่งตนเองติดคุก จึงให้นายเปาไปค่อยเก็บเงินค่าเช่าคอนโดมิเนียมตนเองเลี้ยงดูตัวเอง ก่อนเขาจะเลิกทำ แล้วไปทำงานกับสารวัตรซัว ซึ่งเรียนโรงเรียนเดียวกันมา โดยได้ค่าจ้าง 300,000-400,000 บาท และให้เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของลาลิซ่าอาบอบนวด

ส่วนเรื่องที่ ทนายตั้ม กล่าวหานั้นประเด็นแรก ยอมรับว่าตนเองเคยพบกับนายแทนไท ซึ่งมีอดีตนายตำรวจยศ พล.ต.อ.ที่ตนรู้จักกัน พามาหาที่โรงแรมแห่งนี้ตอนกลางวัน เพื่อปรึกษาว่าจะฟ้องร้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล หรือไม่ หลังเข้าไปพบนายสนธิ แล้วถูกต่อว่าเพราะไม่เชื่อว่านายแทนไท จะทำธุรกิจขาวสะอาด ตนก็แนะนำว่าอย่าไปฟ้องเพราะสู้ไม่ได้ ก่อนนายแทนไทจะกลับไป ตนไม่ทราบเหตุผลว่าทำไมต้องมาปรึกษาตัวเอง

ประเด็นต่อมาคือเรื่องที่มีเงินดิจิทัล 50 ล้านบาท โอนเข้ามายังบัญชีของกล่องดวงใจ หรือ นายเติม ลูกชายคนเดียวของตน ยืนยันว่าลูกชายตัวเองมีอันจะกิน เพราะได้รับเงินเดือนจากตน ไม่เคยเล่นการพนัน และไม่มีเงินตามที่ทนายตั้ม กล่าวอ้างโอนเข้ามา เว้นแต่เพื่อนของลูกตนจะทำเว็บพนันหรือไม่ ตนไม่ทราบ

นายชูวิทย์ กล่าวต่อมาประเด็นเรื่องรูปเงินทั้ง 2 ถุงที่ทนายษิทราโพสต์ไว้ และบอกว่ามีเงินมากกว่า 6 ล้านบาทตามที่ตนระบุ โดยตนขอชี้แจงว่า เงินดังกล่าวมีถุงละ 3 ล้านบาท รวมเป็น 6 ล้านบาท ไม่มีเงินจากแหล่งอื่นมาเพิ่มเติม ซึ่งเงินดังกล่าวมีตำรวจเกษียณราชการ ชื่อ อ. และอีกนายชื่อ ป. ที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยยังทำอาบอบนวด นำมาให้ตนในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ปีนี้ และได้ปฏิเสธไปแล้ว

แต่ภาพดังกล่าวไม่ได้ถ่ายที่โรงแรมแห่งนี้ และไม่ทราบว่าผู้ใดนำไปเปิดเผย ซึ่งตนไม่สนใจ แต่เชื่อว่าเป็นการแบล็กเมล์ และเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองที่ตนกำลังทำลายนโนบายพรรคการเมืองหนึ่ง

ก่อนตนจะตัดสินใจนำเงินทั้งหมดไปบริจาคให้กับโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธุ์ และโรงพยาบาลศิริราช ในวันที่ 15 มีนาคม พร้อมยอมรับว่าตัวเองไม่มีทางออก ซึ่งตามจริง ตนควรจะนำไปให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) แต่คิดว่าไม่มีประโยชน์ จึงนำไปบริจาค เพราะไม่กล้าใช้ ยิ่งหากได้เงิน 10 ล้านบาท จริงตามที่ทนายตั้มอ้าง ตนจะแบ่งเก็บและบริจาคก็ได้ แต่ตัวเองมีทรัพย์สินมากกว่าที่ได้รับมาเยอะ และยินดีให้สังคมตัดสินว่าตัวเองเป็นอย่างไรกับการนำเงินสีเทาไปบริจาค เพราะตนมักพูดเสมอว่า ตัวเองไม่ใช่คนดี

นายชูวิทย์ ยังถามถึงทนายตั้มว่ารับงานมาจากใคร ยอมรับว่ามีบางเรื่องที่กล่าวหามานั้นมีทั้งถูกและผิด ซึ่งไม่ทราบเหตุผลที่ต้องออกมาพูดในครั้งนี้ พร้อมตอบคำถามที่ว่า ทำไมตนถึงไม่แฉเรื่องนายแทนไท เพราะเขาเปลี่ยนธุรกิจให้ถูกตามกฎหมายไปแล้ว จึงไม่นำมาแฉ รวมถึงหลังจากนี้ตนไม่ยอมรับนายเปาเป็นหลานแล้ว เพราะถือว่าเนรคุณ ซึ่งปัจจุบันตนไม่เคยได้พบหรือติดต่อกันอีก

อย่างไรก็ตาม ภายหลังแฉกลุ่มธุรกิจสีเทา ก็มีคนพยายามจะเข้ามาพบหรือหารือตนเสมอ แต่ตนไม่ได้ให้เข้าพบง่าย ๆ ยอมรับว่าได้รับเงินจากกลุ่มของสารวัตรซัวจริง เพราะเลี่ยงไม่ได้ แต่ตนก็นำเงินไปบริจาคต่อ แต่ยืนยันว่าไม่เคยพบหรือแม้แต่จะโทรศัพท์คุยกับสารวัตรซัว ฝากถึงทนายตั้มด้วยว่าหากมีหลักฐานอื่น ก็ยินดีให้เปิดเผย ยอมรับว่าไม่โกรธ เพียงแต่สงสัยว่า จู่ ๆ ก็มาทิ่มแทงตนในเวลานี้ หากได้คุยกับตนก็สามารถชี้แจงได้ และในอนาคตหากทนายตั้มสนใจ อยากร่วมแฉโครงการทุจริตรถไฟฟ้ากับตนก็ยินดี หากเป็นประโยชน์กับประชาชน