บัตรคนไร้สัญชาติสีชมพู มีเลข 13 หลัก ออก ณ สำนักงานเขตแห่งหนึ่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยมีอายุยาวนานถึง 10 ปี เป็นหนึ่งในหลักฐานชิ้นสำคัญที่ตำรวจได้มาจากผู้เสียหายชาวจีน ซึ่งถูกคนจีนด้วยกันอุ้มไปกักขังเพื่อเรียกค่าไถ่ในพื้นที่หนองปรือ จังหวัดชลบุรี เมื่อห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
และเป็นที่มาของการตรวจพบขบวนการอุ้มบุญ โดยอาศัยสิทธิการขอวีซาเข้ามาแบบ นอนโอ ซึ่งคือการได้รับอนุญาตให้อยู่ได้ถึง 1 ปี ผิดกับวีซาทั่วไป ที่มีอายุ 1-
3 เดือน
ผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมือง จังหวัดจันทบุรี ให้ข้อมูลว่าการขยายผลตรวจสอบในครั้งนี้ เนื่องจากพบความผิดปกติหลายอย่าง โดยเฉพาะวันตรวจค้นที่พักอาศัย ซึ่งพบว่ามีเด็กอายุ 3 ขวบ สัญชาติไทยอยู่ด้วย และชายชาวจีนอ้างว่าเป็นลูกของตนเองที่เกิดขึ้นกับหญิงไทย ซึ่งเลิกลากันไปแล้ว
ขณะที่ล่าสุด ผลการตรวจดีเอ็นเอ กลับพบว่าเด็กชาย 3 ขวบ ที่ถือสัญชาติไทยรายนี้ มีดีเอ็นเอที่ตรงกับหญิงชาวจีนอีกด้วย
หลังจากนี้ ต้องเร่งขยายผลเรื่องราวเด็กชาย 3 ขวบ ซึ่งอาจมีความเป็นไปได้ว่าถูกนำมาสวมเป็นบุตรคนไทย เพื่อให้ได้สิทธิ์การเป็นคนไทย ซึ่งจะง่ายต่อการครอบครองทรัพย์สินที่อาจได้มาจากการกระทำผิดในต่างประเทศ หรือเรียกง่าย ๆ ก็คือการนำมาฟอกนั่นเอง
รวมไปถึงที่มาของบัตรคนไร้สัญชาติสีชมพู มีเลข 13 หลัก ว่าได้มาอย่างไรและใช้สิทธิ์ใดในการได้มา
เรื่องราวเกี่ยวกับขบวนการอุ้มบุญในประเทศไทย ได้เคยมีการจับกุมมาแล้วล็อตใหญ่ ซึ่งจากการข่าว ชี้ชัดว่าการอุ้มบุญเป็นที่นิยมมากในหมู่คนจีน ที่อยากย้ายฐานการอยู่อาศัยมาอยู่ในประเทศไทย โดยมีการจ้างวานให้อุ้มบุญครั้งละ 3 ล้านบาท แต่แม่ของเด็กซึ่งเป็นคนไทยจะได้เพียง 500,000 บาท
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวขบวนการอุ้มบุญ ยังเป็นสิ่งที่ต้องค้นหาความจริงกันต่อไป และต้องขยายผลติดตามตรวจสอบว่าการสวมบัตรประชาชนหรือทำวีซาปลอมที่กำลังนิยมมากในหมู่คนจีน โดยมีคนไทยเป็นผู้ประสานงานกับหน่วยงานรัฐ เพื่อออกบัตรแบบผิดกฎหมายให้ จะมีความเชื่อมโยงกันด้วยหรือไม่ และขบวนการเหล่านี้เติบโตมากขนาดไหนในย่านใดมากที่สุด ที่สำคัญคือขบวนการเหล่านี้คงเบ่งบานไม่ได้ ถ้าไม่มีเจ้าหน้าที่ให้ความร่วมมือ
นี่จึงเป็นอีกหนึ่งความท้าทายกฎหมายไทยและการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งถูกตั้งคำถามว่า เงินง้างทุกอย่างได้แม้กระทั่งกฎหมายจริงหรือไม่