สนามข่าว 7 สี - วันนี้เรามาถอดสมการจากผลโพล ที่เราจะได้เห็นทั้งคะแนนนิยมในตัวพรรค กับบุคคล จะมีผลต่อการได้มา ซึ่งจำนวน สส. หรือไม่ พรรคไหนนอนมา พรรคไหนเหนื่อยหนัก
ช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็มีผลโพลจากสำนักวิจัยต่าง ๆ ออกมาให้เห็นเค้าราง ความนิยมของประชาชนต่อพรรคการเมือง และตัวบุคคลของพรรค โดยเฉพาะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ก็มีให้ได้รู้หน้า รู้ตากันแล้ว
เริ่มที่สำนักวิจัยซูเปอร์โพล ซึ่งสำรวจความเห็นประชาชนต่อความต้องการเลือกพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาล และพรรคร่วมฝ่ายค้าน โดยพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาล ได้รับความนิยมเกือบ 52%
ในจำนวนนี้มีพรรคภูมิใจไทย มาเป็นอันดับหนึ่ง หรือ กว่า 19% อันดับ 2 พรรคประชาธิปัตย์ ได้ถึงกว่า 13% อันดับ 3 พรรคพลังประชารัฐ ได้คะแนนนิยม กว่า 10% พรรครวมไทยสร้างชาติได้อันดับ 4 คิดเป็นกว่า 7%
ส่วนความตั้งใจของประชาชน จะเลือกพรรคร่วมฝ่ายค้าน รวมกว่า 43% พรรคเพื่อไทย ได้รับความนิยมอันดับหนึ่งหรือเกือบ 37% รองมาพรรคก้าวไกล และอันดับ 3 คือ พรรคเสรีรวมไทย
ขณะที่ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สำรวจเจาะจงเพิ่มขึ้น โดยเจาะที่คน กทม. เลือกพรรคไหน ก็พบว่า ในส่วนของนายกรัฐมนตรี ที่ประชาชนจะเลือก 3 อันดับแรก
คือนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล มาเป็นอันดับหนึ่ง, รองมาคือนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และอันดับ 3 คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติ
ขณะที่พรรคการเมือง ที่คนกรุงเทพฯ จะเลือกให้เป็น สส. แบบแบ่งเขต และแบบบัญชีรายชื่อ โดย 3 พรรคอันดับแรก คือ พรรคเพื่อไทย มาเป็นอันดับหนึ่ง ได้ความนิยมเกือบ 35%, อันดับ 2 พรรคก้าวไกล ได้เกือบ 28% และอันดับ 3 พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้กว่า 14%
ซึ่งเมื่อเราเปรียบเทียบคะแนนบุคคล กับคะแนนพรรค จากผลนิด้าโพล จะพบว่า คะแนนนิยมพรรคพลังประชารัฐ น้อยกว่าตัวบุคคล หรือ พลเอกประยุทธ์ ดังนั้นการสู้ศึกเลือกตั้งอาจต้องเหนื่อยกว่า พรรคที่ฐานความนิยมพรรค กับตัวบุคคลสูสีกัน
ก็เป็นผลโพลนำร่อง รับศึกเลือกตั้ง 66 ที่ตอนนี้ก็นับว่า พรรคการเมืองได้เห็นได้ยินแนวความคิดของประชาชนต่อพรรค และนักการเมืองในพรรค ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสี่ปัจจัย หรือ ถือเป็นกระแสที่ไว้เช็กเรตติ้งให้กับพรรค เพิ่มจากปัจจัยนโยบายพรรคที่จะต้องปังได้ใจคน ทำได้จริง ตัวบุคคลสำคัญ และทรัพยากรทางการเมือง ที่ทั้งหมดจะมีผลต่อการได้มาของ จำนวน สส. นำไปสู่ชัยชนะในสนามเลือกตั้งครั้งนี้