คนไข้อายุ 15 ปี ป่วยมะเร็งระยะลุกลาม คำขอครั้งสุดท้ายช่วยพาผมกลับบ้าน

คนไข้อายุ 15 ปี ป่วยมะเร็งระยะลุกลาม คำขอครั้งสุดท้ายช่วยพาผมกลับบ้าน

View icon 4.7K
วันที่ 21 เม.ย. 2566 | 11.05 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
เพจหมอคนสุดท้าย คนไข้อายุ 15 ปี ป่วยมะเร็งระยะลุกลาม ขอจากไปอย่างสงบไม่ทรมาน ความฝันสุดท้ายอยากกลับบ้าน กลับไปหาแม่ กลับไปบอกลาเพื่อน โรคภัยที่มาพร้อมความจน น้องทำให้หมออยากเห็นคนไทยได้ “อยู่ดี” และ “ตายดี” โดยไม่มีความจนเป็นอุปสรรค

เมื่อชีวิตเดินมาถึงจุดสุดท้าย วันนี้ (21 เม.ย.66)เรื่องราวแสนสะเทิอนใจ ที่ได้รับการเปิดเผยจากเพจหมอคนสุดท้าย ซึ่งข้อความตอนหนึ่งระบุถึงวันหยุดยาวสงกรานต์ที่ผ่านมา หลายคนได้หยุดพัก หลายคนยังทำงานและใช่ครับ ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่อยู่เวรยุ่งๆ ในช่วงวันหยุดยาว ขณะนั้นเพื่อนในแผนกห้องฉุกเฉิน (ER) โทรศัพท์มาขอคำปรึกษาถึงเคส คนไข้ เพศชาย อายุเพียง 15 ปี ป่วยเป็นมะเร็งระยะลุกลาม หรือ advanced cancer มาโรงพยาบาลด้วยอาการหอบเหนื่อยมาก คนไข้ยืนยันว่าไม่ขอใส่ท่อช่วยหายใจ แพทย์เวรในห้องฉุกเฉินจึงปรึกษาให้ช่วยจัดการอาการหอบ

หมอได้ถามย้ำว่า คนไข้อายุเท่าไหร่นะ ซึ่ง 15 ปี เป็นคำตอบยืนยัน โดยหมอที่ห้องฉุกเฉินให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า คุยกับน้องคนไข้แล้ว น้องรับทราบตัวโรค ขอตายแบบสงบไม่ทรมาน คนในวัย 15 ปี กล้าตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว คนในวัย 15 ปี ที่พร้อมจะเผชิญความตาย หมอเกิดคำถามในหัวโผล่ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ถ้าเป็นเราจะทำได้แบบนี้ไหม หมอจึงไปพบน้องคนไข้พร้อมแนะนำตัวและสอบถามถึงอาการ น้องคนไข้พยายามลืมตาขึ้นมาคุย ทันใดนั้นเขาเอื้อมมือมาจับที่แขนผม

“หมอครับ ช่วยผมด้วย ผมอยากกลับบ้าน เป็นเสียงร้องขอทั้งที่เรายังไม่ได้ทำความรู้จักกันเลย

หมอถามชื่อจากน้องคนไข้ ชื่อ “มิกกี้” (นามสมมติ) และถามว่า เพราะอะไรถึงอยากกลับบ้าน น้องคนไข้ตอบทันทีว่า “ผมอยากอยู่บ้าน ผมอยากเจอเพื่อน ผมรู้ว่าผมไม่ไหวแล้ว”

หมอทราบดีว่าร่างกายของมิกกี้กำลังจะไม่ไหว เขาดูเหนื่อยล้า หน้าตาซีดเซียว จมูกสองข้างมีออกซิเจนแรงดันสูง ช่วยบรรเทาความเหนื่อยหอบ เขาเหลือเวลาไม่มากแล้ว เวลาของเขาเหลือเป็นชั่วโมงๆ หรืออาจเป็นวันต่อวัน หมอถามย้ำว่า “มิกกี้” ได้บอกคนในครอบครัวไหมว่าอยากกลับบ้าน มิกกี้ตอบว่า บอกแม่แล้วครับ ผมบอกทุกคน แต่เขาพาผมกลับบ้านไม่ได้ แม่ไม่มีเงิน

หมอสอบถามว่าบ้านมิกกี้อยู่ที่ไหน จนทราบว่าเป็นจังหวัดแห่งหนึ่งที่ภาคอีสาน ประเมินระยะทางกว่า 400 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางคงไม่ต่ำกว่า 5-6 ชั่วโมง และถามย้ำถึงเหตุผลว่า เพราะอะไรมิกกี้ถึงอยากกลับบ้าน น้องตอบซ้ำว่า“ผมอยากไปอยู่กับแม่ ผมอยากเจอเพื่อนๆ อยากลาเพื่อนเป็นครั้งสุดท้าย มิกกี้บอกความปรารถนาอย่างแรงกล้า”

“ประโยคที่น้องบอกว่า หมอช่วยผมหน่อยครับ หมอถึงกับน้ำตาคลอ หมอจะพยายามช่วยให้มิกกี้ได้กลับบ้านนะครับ หมอขอคิดว่าวิธีทางช่วยมิกกี้ก่อนนะ หมอจะพยายามอย่างดีที่สุด หมอพูดด้วยเสียงสั่น ออกไปอย่างไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าจะเป็นการให้ความหวังลมๆ แล้งๆ กับมิกกี้หรือเปล่า”

ทันใดนั้นครอบครัวของมิกกี้ก็เดินเข้ามา หมอได้รู้ว่าครอบครัวค่อนข้างลำบาก พ่อกับแม่จึงต้องจากบ้านไปทำงานหาเลี้ยงครอบครัวที่กรุงเทพฯ มีย่าเลี้ยงดูมิกกี้ตั้งแต่เด็ก มิกกี้เติบโตที่จังหวัดหนึ่งในอีสาน เขาเป็นเด็กดีมาตลอด เขาตั้งใจเรียน เขาไม่น่าอายุสั้นเลย” คุณย่าพูดด้วยความเสียใจ

หลายปีก่อนมิกกี้ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง ครอบครัวพาไปรักษาอย่างต่อเนื่อง ผ่าตัด เคมี ฉายแสง มิกกี้ต่อสู้อย่างอดทนมาโดยตลอด โชคร้ายเหลือเกินที่ตัวโรคกลับมา มีการแพร่กระจายไปหลายจุด มิกกี้เหนื่อยมากขึ้น จนขอยุติการรักษาด้วยตัวเอง ครอบครัวจึงพามิกกี้มาดูแลที่บ้านแม่ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ที่หมอทำงานอยู่

หมอถามกลับคุณย่าของมิกกี้ว่า น้องเคยบอกย่าไหมว่าอยากกลับบ้าน ซึ่งย่าก็ยืนยันว่า เขาพูดตลอด เขาอยากกลับบ้าน อยากไปหาเพื่อน ตอนนี้เขาเหนื่อยมาก ไม่รู้จะพากลับไปอย่างไร ย่าไม่มีเงินพาหลานกลับบ้านหรอก ย่าไม่มีค่ารถ คุณย่าเล่าทั้งน้ำตา หมอก็ยิ่งเสียงสั่นเข้าไปอีก

“โรคภัย” ที่มาพร้อมกับ “ความจน” ช่างน่ากลัวเหลือเกิน รสชาติที่หากใครไม่เคยสัมผัสคงจินตนาการไม่ออกว่ามันเจ็บปวดเพียงใด เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หมอรู้สึกอยากเป็นคนรวยขึ้นมาจริงๆ ทั้งที่รู้ว่าหากหมอรวยจริงๆ หมอก็ช่วยคนทั้งโลกไม่ได้ หมอขอหาทางช่วยให้มิกกี้ได้กลับบ้านดูก่อนนะครับ เป็นประโยคที่หมอได้พูดกับคุณย่า และพยายามติดต่อกับหลายๆ คน เพื่อนๆ จิตอาสา จนมีผู้ใหญ่ใจดีช่วยสนับสนุนค่าเดินทางกลับบ้านให้มิกกี้

เพจหมอคนสุดท้ายระบุด้วยว่า “มิกกี้ มีผู้ใหญ่ใจดีหลายคนเลยนะที่ช่วยพามิกกี้กลับบ้าน ดีใจไหมลูก หมอเผลอเรียกลูกด้วยความเอ็นดู มิ้กกี้กล่าวขอบคุณพร้อมยกมือไหว้ หมอได้พูดคุยกับครอบครัวของน้องอีกครั้ง โดยแม่ของน้องถามว่า มิกกี้จะกลับถึงบ้านไหม หมอได้ให้ข้อมูลจริงไปว่า บอกไม่ได้เลยครับ มิกกี้มีโอกาสที่จะเสียชีวิตระหว่างทาง ถ้าเขาเสียระหว่างทาง ไม่ได้แปลว่าสิ่งที่เราทำก็สูญเปล่า หนึ่งคือเราตั้งใจพามิกกี้กลับบ้าน และสองมิกกี้ก็รับรู้ว่าเราตั้งใจทำความฝันสุดท้ายให้เขาอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง เราทำดีที่สุดแล้ว

หมอแนะนำให้ครอบครัวของมิกกี้โทรหาเพื่อนๆ และวิดีโอคอล อย่างน้อยหากมิกกี้โชคร้ายเสียชีวิตระหว่างทาง ก็ยังมีโอกาสได้คุยกับเพื่อนๆ ของเขา มิกกี้ออกเดินทางด้วยรถที่มีผู้ใหญ่ใจดีสนับสนุนการเดินทาง และโชคร้ายครับ มิกกี้กลับไปไม่ถึงบ้านอันแสนอบอุ่นหลังนั้น เวลาของคนเราช่างแสนสั้นเหลือเกิน ใครจะรู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร

“มิกกี้ทำให้หมอกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองมากมาย เราทำอะไรอยู่? ตอนนี้เราเป็นอย่างไร? ความฝันในชีวิตของเราจริงๆ คืออะไรกันแน่นะ? หมอไม่เสียใจแต่เสียดายที่เราเจอกันช้าไป เด็กน้อยที่มีความฝันสุดท้าย แค่อยากกลับบ้าน และเจอเพื่อนๆ ขอบคุณที่มาเป็นครูในวันที่แสนวุ่นวาย เขาทำให้หมออยากเห็นคนไทยได้ “อยู่ดี” และ “ตายดี” โดยไม่มีความจนเป็นอุปสรรค” #หมอคนสุดท้าย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง