ปิดฉากเรื่องฉาว พระแช็ตซื้อบริการ ใช้เงินบริจาคของวัด หลังคณะสงฆ์ประชุมมีมติเอกฉันท์ จับพระปลัด ปาราชิก

ปิดฉากเรื่องฉาว พระแช็ตซื้อบริการ ใช้เงินบริจาคของวัด หลังคณะสงฆ์ประชุมมีมติเอกฉันท์ จับพระปลัด ปาราชิก

View icon 503
วันที่ 19 พ.ค. 2566 | 08.38 น.
ข่าวช่อง7HD
แชร์
ปิดฉากเรื่องฉาว พระแช็ตซื้อบริการ ใช้เงินบริจาคของวัด หลังคณะสงฆ์ประชุมมีมติเอกฉันท์ จับพระปลัด ปาราชิก หลังตรวจสอบพบการกระทำผิดพระธรรมวินัยร้ายแรง

เมื่อวันที่ 19 พ.ค.66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเย็นวานนี้ ที่วัดพุทธภูมิ พระอารามหลวง เขตเทศบาลนครยะลา จ.ยะลา คณะสงฆ์จากกรุงเทพมหานคร และคณะสงฆ์ในพื้นที่ได้แก่เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ และเจ้าอาวาสวัดพุทธภูมิ ได้ร่วมกันประชุมตรวจสอบพยานหลักฐาน หลังมีผู้ร้องเรียนว่ามีพระปลัด ตำแหน่งรักษาการรองเจ้าอาวาส วัดนิโรธสังฆาราม อ.เมืองยะลา จ.ยะลา แอบซื้อบริการจากหญิงสาว โดยที่ฝ่ายหญิงสาวไม่ทราบว่าขณะนั้น ยังคงดำรงสถานะเป็นพระภิกษุสงฆ์ แต่เมื่อทราบ ก็ได้หลบหนีออกมา ก่อนที่จะนำเรื่องดังกล่าวสร้างเฟซบุ๊กใหม่ขึ้นมา เพื่อแฉพฤติกรรมของพระปลัดรูปนี้ ซึ่งเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2566 ที่ผ่านมา จากนั้นเรื่องราวดังกล่าวก็ถูกกระจายสู่โซเชียล จนเป็นที่กล่าวขานกัน

ต่อมา นายสุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ทราบเรื่องจึงสั่งการให้ ร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนา และสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดยะลา เข้าดำเนินการตรวจสอบ พร้อมขอความร่วมมือไปยัง พลโทศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาค 4 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ด้านนิติวิทยาศาสตร์ กอ.รมน.จังหวัดยะลา และดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง

หลังเจ้าหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบ ก็พบว่า พระปลัดรูปดังกล่าวคือ พระปลัดศิจะพรรณ อายุ 34 ปี ปัจจุบัน ตำแหน่งรักษาการรองเจ้าอาวาสวัดนิโรธสังฆาราม อ.เมืองยะลา จ.ยะลา โดยเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการสืบสวนหาเบาะแส จนสามารถติดต่อหญิงสาวที่ถูกพระปลัดซื้อบริการ และได้ทำการสอบสวนปากคำ และนำหลักฐานคือ โทรศัพท์มือถือของหญิงสาวคนดังกล่าวไปตรวจสอบหลักฐานการแช็ต

โดยระหว่างที่เจ้าหน้าที่ดำเนินการสืบสวนนั้น ก็พบว่า พระปลัด ยังแอบมีความสัมพันธ์กับหญิงสาวอีกจำนวน 3 คน โดย 2 ใน 3 นั้น วนเวียนเข้าออกวัด ทุกครั้งที่มีกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้น จนมีผู้ให้ข้อมูลเพิ่มขึ้น และพบว่ามีคลิปผู้หญิงนอนห่มจีวรอยู่ภายในกุฎิของพระปลัดศิจะพรรณ เมื่อเจ้าหน้าที่ทำการสืบสวนและเก็บพยานหลักฐาน จนคาดว่า น่าจะมัดตาเอาความผิดจากพฤติกรรมได้ จึงได้รายงานต่อคณะสงฆ์และหน่วยงานเกี่ยวข้อง นำตัวพระปลัดศิจะพรรณ มาฟังคำวินิจฉัยการตัดสินของคณะสงฆ์ พร้อมพยานหลักฐาน ที่เจ้าหน้าที่มีเพื่อยืนยันการกระทำผิดโดยใช้การตรวจสอบโทรศัพท์ตามหลักนิติวิทยาศาสตร์ ใช้เวลาในการพิจารณาและวินิจฉัยจากคณะสงฆ์กว่า 4 ชั่วโมง จึงคณะสงฆ์จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้พระปลัดศิจะพรรณ ปาราชิก ตัดขาดจากการเป็นพระภิกษุสงฆ์โดยทันที เนื่องจากการกระทำผิดพระธรรมวินัยร้ายแรงเด่นชัด

ทั้งนี้ ในช่วงเวลาที่พระปลัดศิจะพรรณ ถูกแฉพฤติกรรมและถูกร้องเรียนต่อสื่อมวลชนมีผู้ให้ข้อมูลว่า พระปลัดได้ให้ลูกศิษย์คนสนิทนำเงินไปให้พยานบุคคลหลายราย เพื่อยุติปัญหา รายละ 5000-20,000 บาท

นอกจากนี้ ยังมีลูกศิษย์ลูกหาและชาวบ้านหลายราย ต้องการให้เจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบความโปร่งใส่เรื่องเงินในบัญชีของวัด และเงินกิจการต่าง ๆ ที่เข้ามาหมุนเวียนอยู่ในวัด เนื่องจากพบจากหลักฐานในโทรศัพท์ ว่าพระปลัดได้มีการโอนเงินให้กับผู้หญิง3-4 ราย ในทุก ๆ เดือน และล่าสุดก็ทราบว่าเพิ่งไปถอยรถยนต์คันใหม่ เป็นรถยนต์เก๋ง7 ที่นั่ง เมื่อปลายปี 65 ที่ผ่านมา

ขณะที่ เพื่อนของหนึ่งในหญิงสาว ที่มีความสัมพันธ์กับพระปลัด เล่าเหตุการณ์ที่เคยพบเจอพฤติกรรมของพระปลัด ว่า เมื่อช่วงปี2562 ก่อนหน้านี้มีคนจากกรุงเทพมาบริจาคเงินให้วัดประมาณ 1 ล้านบาท โดยเป็นเงินสดทั้งหมดจากนั้นก็เห็นพระหยิบเงินที่เค้าบริจาคไปประมาณ 1-2 ปึก ซึ่งเป็นธนบัตรใบละ1000 บาท ใส่ในกระเป๋าของพระ จากนั้นทางพระก็ชวนเพื่อนผู้หญิงและตนให้ร่วมเดินทางไปเชียงใหม่ โดยก่อนเดินทาง ก็มานอนที่กุฏิพระปลัด โดยพระปลัดนอนกับเพื่อนของตนส่วนตนนอนอีกเตียง จากนั้นรุ่งเช้าก็ออกเดินทาง โดยมาแวะที่บ้านของพระที่ จ.สงขลาจากนั้น ก็ต้องตกใจ เมื่อพระปลัดเปลี่ยนการแต่งกายมาใส่ชุดปกติเหมือนคนทั่วไป "อ้างว่าการเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเครื่องแบบการทำงาน" ซึ่งตอนนั้นตนเองตกใจมาก ตัวสั่นไปหมด แต่เพื่อนของตนบอกว่าให้เฉยๆ ไว้ไม่เป็นไรหรอก โดยใช้ระยะเวลาเดินทางไปกลับประมาณ 1 สัปดาห์ โดยมีภาพและคลิปการไปท่องเที่ยวที่จังหวัดบุรีรัมย์และตลาดน้ำอัมพวา ซึ่งระหว่างนั้นก็เห็นพระปลัดมีอะไรกับเพื่อนสาว ซึ่งตนก็รู้สึกผิดมาตลอด

ขณะที่นายอู๋ แฟนเก่าของดาว เล่าให้ฟังว่า หลังจากเกิดเรื่องราวจนกระทั้งตัวเองได้ทราบเรื่องว่า ดาวซึ่งเป็นอดีตภรรยาได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนและต่อมาได้ไปลงบันทึกประจำวันว่าตนได้ยืมรถของพระเพื่อไปซื้อบริการผู้หญิงที่รีสอร์ต นั้น ทำให้จนเสียหายมากจนเกือบโดนไล่ออกจากงาน ตนตั้งชี้แจงกับผู้บังคับบัญชาว่าไม่เป็นความจริง และมีสิ่งยืนยันได้อีกเรื่องคือ ตนขับรถยนต์ไม่เป็น จึงไม่สามารถจะขับรถไปซื้อบริการสาวในรีสอร์ตได้ อีกทั้งในการมาให้ปากคำกับตำรวจในครั้งแรก ตนและญาติได้ถูกพระปลัด พูดจาข่มขู่ และและส่งแช็ตจากมือถือของดาวยื่นข้อเสนอให้เงิน 5,000 บาท และอ้างว่าจะจัดการให้เป็นนายสิบทหารให้ได้ โดยขอให้ยุติการเข้าให้ปากคำกับคณะสงฆ์หลังจากที่นางสาวดาวได้ซัดทอด ว่าคืนที่เกิดเหตุ พระปลัดแอบซื้อบริการหญิงสาวที่รีสอร์ทนั้น ไม่เป็นความจริง แต่กลับโกหกว่าตนขอยืมรถยนต์ไปรับหญิงอื่นไปรีสอร์ทแต่ความจริงคืนนั้น นายอู๋ อยู่กับแม่ที่บ้านใน จ.สงขลา

ซึ่งต่อมานายอู๋ได้เข้าแจ้งความที่ สภ.เมืองยะลา กรณีถูกนางสาวดาวซัดทอดให้การเท็จ และดีเจชื่อดังที่แชร์ข้อมูลบันทึกแจ้งความเท็จลงในสื่อและระบบออนไลน์ นอกจากนี้ ทางพระครูวรพุทธาภิรักษ เจ้าคณะตำบลสะเตง เจ้าอาวาสวัดพุทธภูมิพระอารามหลวง ได้เข้าแจ้งความเป็นหลักฐาน ให้มีการตรวจสอบวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี วิชาเอกรัฐศาสตร์ ซึ่งพระปลัด ได้ยื่นเอกสารดังกล่าว จบจากสถาบันมหาวิทยาลัยรามคำแหง ชื่อนายศิจะพรรณ วิชาเอก รัฐศาสตร์ ปริญญา คศ.บ.ซึ่งมี ใบประกาศประกาศนียบัตรระดับปริญญาตรี ใบรับรองคุณวุฒิระดับปริญญาตรี และใบระเบียบแสงผลการศึกษาระดับปริญญาตรี ศึกษาสำเร็จหลักสูตรศิลปศาสตร์บัณฑิต (รัฐศาสตร์) วันสำเร็จการศึกษา 2549 จึงได้ลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐาน เพื่อนำหลักฐานประสานทางสภามหาวิทยาลัยรามคำแหง เพื่อตรวจหลักฐานการสำเร็จการศึกษาดังกล่าวถูกต้องหรือไม่ โดยการยื่นหลักฐานดังกล่าวนี้ ทราบว่า พระปลัด จะยื่นเพื่อขอแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดนิโรธสังฆาราม อ.เมืองยะลา จ.ยะลา

ทั้งนี้ทราบว่า จะต้องมีการดำเนินการตรวจสอบเรื่องการถอดถอนรายชื่อออกจากผู้รับเสาเสมาธรรมจักร ต่อไปอีกด้วย