สนามข่าว 7 สี - ข่าวนี้เรียกว่าเป็นภัยใกล้ตัว เพราะเดี๋ยวนี้ผู้คนเริ่มหันมาใช้บริการเรียกรถรับ-ส่งผ่านแอปพลิเคชัน เรื่องนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งเรียกรถแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชันให้มารับ แต่ถูกคนขับแท็กซี่กระทำชำเรา ทันทีที่ทราบเรื่อง แฟนหนุ่มจึงขับรถไปหา และรีบนำตัวเธอส่งโรงพยาบาล เพื่อตรวจร่างกายก่อนเป็นอันดับแรก
นี่เป็นเสียงสัมภาษณ์ของแฟนหนุ่มของหญิงผู้เสียหาย และยังเป็นพยานในคดีด้วย เล่าว่า เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่แล้ว (2565) แฟนสาวไปเที่ยวย่านทองหล่อ กรุงเทพฯ ตอนขากลับที่พัก ตัดสินใจเรียกใช้บริการรถแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชันหนึ่ง ขณะนั้นเวลาประมาณ 02.00 น. เธอได้แชร์โลเคชันมาไว้ให้ตนเอง เพื่อความอุ่นใจ หลังขึ้นรถแท็กซี่ไปสักพัก ก็ได้รับโทรศัพท์จากแฟน แต่กลับเงียบ ไม่พูด ไม่จา ก็รู้สึกเอะใจขึ้นมา จึงเปิดโลเคชันที่แฟนส่งให้ พบว่าคนขับรถแท็กซี่พาออกนอกเส้นทาง เขาจึงขับรถออกไปตามพิกัดทันที ก่อนเจอแฟนสาวสภาพสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว บริเวณลำคอและข้อเท้ามีร่องรอยถูกทำร้าย จึงพาไปโรงพยาบาลตำรวจ
หลังเกิดเหตุแจ้งความทันทีที่ สภ.เมืองสมุทรปราการ ตำรวจสืบหาที่อยู่คนร้ายได้จากทะเบียนรถ และนำตัวมาดำเนินคดีขึ้นศาลตามกระบวนการ แต่ผ่านไปหลายเดือน ไม่เคยได้รับหมายเรียกพยานจากศาล จนมาได้รับหนังสือแจ้งเรื่องค่าสินไหมทดแทน แต่ก็ไม่ทราบว่าจะตัดสินคดีวันไหน พอสอบถามทนาย ก็บอกให้รอ สุดท้ายมารู้ทีหลังว่าศาลตัดสินคดีไปเมื่อวันที่ 14 มีนาคม เรื่องนี้ทำให้ตนเอง และแฟนสาวถึงกับงง พร้อมตั้งคำถามว่าทำไมถึงมีผลตัดสินออกมาแบบนี้ โดยไม่มีการแจ้งให้ทราบมาก่อน
ทีมสนามข่าว 7 สี จึงติดต่อไปหา ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ เพื่อให้อธิบายถึงกระบวนการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น คือ แรกเริ่มจะมีจดหมายเรื่องสินไหมมาก่อน ซึ่งคือจดหมายที่คุณธนัชได้รับ แล้วก็ให้ดำเนินการตามขั้นตอนศาล จากนั้นจะได้รับหมายเรียกพยานอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในกรณีคุณธนัชนั้น ต้องยื่นเรื่องขอดูสำนวนกับศาลโดยตรงว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
แฟนหนุ่มของหญิงผู้เสียหาย ยังเปิดใจกับทีมข่าวอีกว่า อยากผลักดันเรื่องการแก้กฎหมายลงโทษให้เหมาะสมกว่านี้ เพราะถึงแม้จะมีการรื้อคดีมาทำใหม่ แต่บทลงโทษก็คงไม่ได้ต่างจากเดิม คนร้ายได้รับโทษจำคุกไม่กี่ปี แต่เหยื่อต้องอยู่กับความทรงจำเลวร้ายที่เกิดขึ้นไปตลอดชีวิต
