ซึ่งคุณชูวิทย์ บอกว่า เท่าที่สังเกตวันสองวันมานี้ มีคนทำให้ทั้ง 2 พรรคแตกแยกกัน เพราะเริ่มมีข่าวการทะเลาะเบาะแว้งกันในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งพรรคก้าวไกลกับเพื่อไทยต้องอยู่คู่กัน เหมือนทีมคนแก่กับหนุ่มสาว ถ้ามีใครทำให้แก้วแตกร้าว คนนั้นแหละจะเป็นคนไปรวมกับขั้วใหม่ ทำให้เกิดรูปแบบของการจัดตั้งรัฐบาลสูตรที่ 2 เพื่อไทยต้องไปรวมเสียงกับ ภูมิใจไทย พลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ เพื่อให้ได้ 280 เสียง
ส่วนเรื่องตำแหน่งประธานสภาฯ คุณชูวิทย์บอกว่า ปกติไม่มีการโหวตเพื่อเลือกประธานสภา มีแต่การตกลงมาก่อนแล้วทั้งสิ้น ส่วนเหตุผลที่ตำแหน่งประธานสภาฯ มีความสำคัญ เพราะประธานสภาฯ จะต้องเสนอวาระนายกรัฐมนตรีในการพิจารณา ซึ่งก็ต้องดูกันอีกว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล จะผ่านด่าน สว.ไปได้หรือไม่ หาก สว.เห็นว่าคุณสมบัติของคุณพิธายังไม่ผ่าน ก็ทำให้ สว.จะมีข้ออ้างในการสวนมติของประชาชนได้เช่นกัน
โดยส่วนตัวคุณชูวิทย์มองว่า ตำแหน่งประธานสภาฯ คิดว่าต้องให้ก้าวไกล เพราะเพื่อไทยได้กระทรวงเกรดเอไปแล้วหลายกระทรวง และก้าวไกล ก็มีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว คิดว่าเกมที่มานั่งทะเลาะกันแบบนี้ มันจะเข้าข่ายหารตั้งรัฐบาลสูตรที่ 2 หรือเปล่า อีกทั้งก่อนหน้านี้ ที่ทางเพื่อไทยพยายามออกมาบอกว่า จะให้ก้าวไกลได้จัดตั้งรัฐบาล แต่ลับหลังกลับมาทะเลาะกันแบบนี้
ซึ่งคุณชูวิทย์ บอกว่า เหมือนตอนนี้พรรคเพื่อไทย รู้ว่าคุณพิธา น่าจะมีชนักเรื่องหุ้นอยู่แล้ว จึงห่วงเรื่องประธานสภาฯ และพยายามท้าไปโหวตในสภา เกมนี้คุณชูวิทย์ห่วงว่าจะมีการจับขั้วรัฐบาลใหม่ ประโยชน์จะไปตกกับบุคคลที่ 3