ฟังเสียงหมอ ช่วงแรกของแพทย์ใช้ทุน ทรมานที่สุดในชีวิตการเป็นแพทย์

ฟังเสียงหมอ ช่วงแรกของแพทย์ใช้ทุน ทรมานที่สุดในชีวิตการเป็นแพทย์

View icon 428
วันที่ 6 มิ.ย. 2566 | 08.13 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
คับทั้งที่คับทั้งใจ ฟังเสียงหมอ ช่วงแรกของแพทย์ใช้ทุน ทรมานที่สุดในชีวิตการเป็นแพทย์ ใช้ทุนเกินกว่า 9 ปี เคยต้องผ่าตัดสมองผู้ป่วยถึงวันละ 9 คนติดต่อกัน เคยต้องอดนอน-หลับนกติดต่อกัน 3-4 วัน เคยต้องผ่าตัดคนไข้ทั้งที่ตัวเองมีไข้มากกว่า 40 องศา เคยต้องไปขอโทษญาติคนไข้ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจว่าตนเองทำผิดอะไร แต่ต้องทำเพราะผู้ใหญ่ต้องการให้เรื่องจบเร็วที่สุดเมื่อไรเราจะมีรัฐบุรุษในระบบสาธารณสุข?

วันนี้ (6 มิ.ย.66) ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว “คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก คับทั้งที่คับทั้งใจแล้วหมอกับคนไข้จะเป็นอย่างไร ! พร้อมแชร์ข้อความจากคุณหมอเมธี วงศ์ศิริสุวรรณ พูดแทนหมู่บุคลากรการแพทย์ รวมทั้งพยาบาล ทันตแพทย์ เภสัชกร  ซึ่งระบุว่าผู้เขียนแม้ไม่ใช่ตัวแทนของแพทย์ทั้งประเทศ แต่ก็เป็นหนึ่งในแพทย์ที่ผ่านระบบการใช้ทุนมายาวนานเกินกว่า 9 ปี ตามสัญญา อีกทั้งยังเป็นแพทย์ในสาขาที่น่าจะได้ชื่อว่างานหนักที่สุด เคยต้องผ่าตัดสมองผู้ป่วยถึงวันละ 9 คนติดต่อกัน เคยต้องอดนอนหรือหลับนกติดต่อกัน 3-4 วัน เคยต้องผ่าตัดคนไข้ทั้งๆ ที่ตัวเองมีไข้มากกว่า 40 องศา อีกทั้งยังเป็นคนที่ญาติผู้ป่วยมาฝากผีฝากไข้ โดยหารู้ไม่ว่าหมอคนนี้ต้องผ่าสมองคนไข้ทั้งที่ตัวเองติดเชื้อในกระแสเลือดอยู่ เคยต้องไปขอโทษญาติคนไข้ทั้ง  ๆ ที่ไม่เข้าใจว่าตนเองทำผิดอะไร แต่ต้องทำเพราะผู้ใหญ่ต้องการให้เรื่องจบเร็วที่สุด

647e8d8cd52234.82625823.PNG

ประเด็นแรก ช่วงแรกของแพทย์ใช้ทุน คือช่วงที่ทรมานที่สุดในชีวิตการเป็นแพทย์ ระบบสาธาณทุกข์ของบ้านเรา ส่งแพทย์ที่มีความรู้ทางปฏิบัติน้อยที่สุด ประสบการณ์น้อยที่สุด ไปรับมือผู้ป่วยในที่ที่มีความพร้อมของระบบน้อยที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ห้องฉุกเฉิน” หรือ “รพ.ชุมชน” ซึ่งแท้จริงแล้วต้องการแพทย์ที่มีประสบการณ์มากที่สุดในการรับมือสารพัดความต้องการของผู้ป่วยและญาติ เมื่อรับมือไม่ไหว ก็เกิดปรากฎการณ์ แห่ศพประท้วง เรียกร้องขอเงินหรือประจานลงโซเชียลมีเดีย ทั้งๆ ที่แพทย์พยาบาลล้วนทำงานกันเกินมนุษย์เพื่อสนองตอบนโยบายประชานิยมของนักการเมืองที่ต้องการคะแนนเสียงตุนไว้ตลอดชาติ

ประเด็นถัดมาคือ ระบบกำหนดให้แพทย์พยาบาลเหลืออยู่ในระบบมากขึ้น เพื่อหวังให้มีคนช่วยงานบ้านมากๆ พร้อมกับตั้งความหวังว่า ลูก(ทาส)เหล่านี้จะทำงานบ้านอย่างเต็มใจ ยิ้มแย้ม ต้อนรับแขกทุกคนที่มาเยือนถึงเรือนบ้านด้วยหัวใจมนุษย์ นึกภาพไม่ออกว่า ระบบมันจะดีขึ้นได้อย่างไร จำนวนแพทย์พยาบาลที่มากขึ้นโดยไม่สนใจว่าคนเหล่านี้จะมีกะจิตกะใจที่จะทำงานถวายหัวให้องค์กร ใช้แรงงานโดยไม่สนใจที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของกรรมกรชุดขาวเหล่านี้ 

ประเด็นสุดท้าย ที่มีคนถามกันมากมายว่า “เหตุใดจึงมีเฉพาะบุคลากรสายสาธารณสุขเท่านั้นที่ต้องถูกบังคับให้ใช้ทุน?” ทำไมนักศึกษาในสาขาอื่น ๆ ที่รัฐต้องจัดงบอุดหนุนให้กับทุกคณะในมหาวิทยาลัยของรัฐ ถึงไม่ต้องมีพันธะเช่นนี้

จำได้ว่าเมื่อก่อนรัฐประหาร เกิดปัญหาขึ้นในกระทรวงสาธารณสุขที่ไม่สามารถหาตำแหน่ง(ทุน)ให้กับแพทย์ที่ต้องการมาเรียนต่อเฉพาะทาง(แพทย์ประจำบ้าน) เหตุเพราะต้องจัดสรรตำแหน่งให้กับแพทย์จบใหม่ซึ่งกำลังจะถึงปีละ 4,000 คน ในไม่ช้านี้ ในขณะที่ ก.พ.เองก็ฮึ่มๆ มาตลอดว่าไม่มีตำแหน่งให้อีกแล้ว  รมว.สธ.ในขณะนั้นจึงได้เสนอแนวคิดให้ยกเลิกการใช้ทุน (มิใช่แพทยสภาเสนออย่างที่มีคนปลุกปั่นกัน) เหตุเพราะเห็นความจำเป็นในการจัดสรรตำแหน่งเพื่อให้ รพ.ในต่างจังหวัดสามารถบรรจุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่ 

อีกเหตุผลที่สำคัญคือ ถึงแม้ไม่บังคับให้แพทย์ใช้ทุน แต่แพทย์จบใหม่เหล่านี้ก็ไม่สามารถไปทำงานในภาคเอกชนได้ เพราะคุณสมบัติไม่ตรงตามที่ต้องการ (ยกเว้นไปเปิดคลินิกเสริมสวยเอง ซึ่งเงินห้าล้านก็ไม่แน่ว่าจะเอาอยู่) นอกจากนี้แพทยสภาในขณะนั้นยังได้ช่วยแก้ปัญหาให้กับฝ่ายการเมืองด้วยการออกกฎว่า แพทย์ที่ต้องการศึกษาต่อเฉพาะทางต้องผ่านการทำงานให้รพ.รัฐไม่น้อยกว่า 1-3 ปี ด้วยวิธีนี้ รพ.ของรัฐในต่างจังหวัดก็จะสามารถได้แพทย์ไปทำงานพร้อมกับหาประสบการณ์ไปด้วย (ระยะหลังจะมีระบบใช้ทุนโดยทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวเต็มใจร่วมหอลงโรงกัน) หากขึ้นค่าปรับเป็นหลักห้าล้านบาท เชื่อว่าอาจมีกรณีฟ้องร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งฝ่ายบริหารต้องเตรียมคำตอบไว้ดี ๆ เพราะคนเป็นพ่อเป็นแม่คงไม่ยอมให้ลูกตนเองติดคุกง่ายๆ ในระบบที่เต็มไปด้วยความไม่พร้อมเช่นนี้

ขอย้ำว่า ไม่ได้ไม่เห็นด้วยกับการขึ้นค่าปรับกรณีเบี้ยวทุน แต่ปัญหาที่หมักหมมในระบบสาธารณสุขทุกวันนี้ควรจะได้รับการแก้ไขด้วยการผ่าตัดใหญ่ในหลายๆ มิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องภาระงาน การสุ่มเสี่ยงต่อการฟ้องร้อง แนวคิดของนักกฎหมายที่มีมุมมองว่า “การช่วยชีวิตคนเป็นสินค้าหรือบริการที่มุ่งหากำไร เอารัดเอาเปรียบ” ล้วนแต่ทำให้นักโทษชุดขาวเหล่านี้ต่างมองหาโอกาสในการแหกคุก ไม่ว่าคุกนั้นจะแน่นหนาสักเพียงไร แทนที่จะสร้างคุกกักกันดั่งป้อมปราการ ทำไมผู้บริหารที่ผ่านมาถึงไม่มีใครคิดจะเปลี่ยนคุกเป็นคอนโดสุดหรู ที่ทั้งแพทย์ พยาบาล และผู้ป่วย ต่างแย่งกันเข้ามาอยู่อาศัย เมื่อไรเราจะมีรัฐบุรุษในระบบสาธารณสุข?

ข่าวที่เกี่ยวข้อง