หมอดื้อยอมรับ มีแพทย์พาณิชย์หน้าเลือด คดโกง แต่ไม่ใช่ทุกคน

หมอดื้อยอมรับ มีแพทย์พาณิชย์หน้าเลือด คดโกง แต่ไม่ใช่ทุกคน

View icon 138
วันที่ 13 มิ.ย. 2566 | 10.02 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
หมอดื้อ ไม่ปฏิเสธมีแพทย์พาณิชย์หน้าเลือด คดโกง แต่ไม่ใช่แพทย์ทุกคน ขอให้รัฐบาลมองปัญหาหมอที่มีมากล้นทุกมิติ ไม่ใช่แค่งานหนัก งานมาก แต่ยังโดดเดี่ยว ไร้ที่ปรึกษา ขาดความก้าวหน้า ทำงานหนักเกินมนุษย์จนขาดความกระตือรือร้นทำงานไปวัน ๆ หนีไปอยู่ รพ.เอกชน บางคนถึงกับออกจากระบบ

วันนี้ (13 มิ.ย.66) ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หรือ “หมอดื้อ” หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวหัวข้อ “คืนหมอสู่ระบบ ฝ่ามรสุม รพ.รัฐ” โดยระบุว่า

ตัวชี้วัดความสำเร็จระบบสุขภาพและสาธารณสุขที่คนไทยต้องการ โรงพยาบาลร้างไอซียู ต้องมีโปรโมชัน ศูนย์หัวใจ ศูนย์ล้างไต เจ๊ง ระเนนระนาด” ไม่ใช่ความฝัน จะทำได้อย่างไร?  การช่วยคนที่โรคเต็มขั้นจนถึงภาวะวิกฤติ ขณะเดียวกัน สร้างเสริมการป้องกันโรคและวินิจฉัยคนที่เป็นโรคแล้วแต่อาการยังไม่ออกเพื่อรักษาให้กลับเป็นคนปกติ 100% เพื่อไม่ให้ทับถมกลับมาเป็นวงจรเดิมของคนไข้วิกฤติอีก

คณะผู้บริหารประเทศต้องมีรูปแบบการจัดการที่ทำให้เกิดเป็นจริงได้ ณ ปัจจุบัน ทำอย่างไรจะช่วยผู้ป่วยโรคเต็มขั้นที่โรคมีความซับซ้อน?
“ต้องยอมรับความจริงก่อน...เรารู้หรือไม่ว่าอัตรากำลังของบุคลากรสาธารณสุขกับภาระงาน งานเกินคน มหาศาลมาตลอด...ระยะเวลาของการทำงานยืดยาวเกินกว่ามาตรฐานสากลและย่อมทำให้เกิดความผิดพลาดได้ และจะถือว่าบุคลากรเป็นมนุษย์ผู้วิเศษไม่ได้ ที่จะทำงานติดต่อกัน 36-72 ชั่วโมง”

บุคลากรที่ทำงานจริง หน้าด่าน ทั้งที่จบใหม่และอยู่ระหว่างใช้ทุน ทำงานโดดเดี่ยว ยังไม่มีที่ปรึกษา ที่มีความรู้และประสบการณ์ช่วยประกบ... บุคลากรที่ได้รับการอบรมเพิ่มในสาขาต่าง ๆ แล้ว เริ่มเชี่ยวชาญแล้ว ดูเหมือนมีจำนวนมากขึ้น แต่แท้จริงจำนวนไม่เพียงพอในแต่ละพื้นที่ และจำนวนคนไข้เต็มขั้น โดยแต่ละคนมีโรคหลายอวัยวะ มีมากมาย...คนไข้แต่ละคน ยังต้องหาหลายหมอในแต่ละโรค ในต่างเวลาที่นัด บางรายต้องพบ หมอมากกว่า 4 สาขา ความดัน เส้นเลือดหัวใจ เบาหวาน ไต สมอง อัมพฤกษ์ หรือสมองเสื่อม ตา กระดูกและข้อ สร้างภาระในการเดินทาง การรอพบ และคนพามา

เรารู้ความจริงหรือไม่ว่า งบประมาณในการรักษาบริบาลแท้จริงแล้ว มีเท่าไหร่และเพียงพอหรือไม่?

ข้อนี้...การกำหนดตายตัว งบในการวินิจฉัย งบในการรักษาในแต่ละโรค เป็นเพียงแต่แนวในการควบคุมงบ ในการรักษาชีวิตมนุษย์ แต่ผลที่เกิดขึ้นประชาชนทราบหรือไม่ว่าการรักษา ที่เป็นจริงไม่ได้มีประสิทธิภาพที่สุด “ล่าช้าและเกิดความเสียหายต่อตามมาได้ ดังนั้น สิ่งที่คนไทยต้องรับทราบก็คือ ตัวเงินที่แท้จริงเราต้องการมากมายเพียงใด เพื่อให้มีการรักษาดีที่สุดเพื่อช่วยชีวิตและให้กลับมาเป็นปกติมากที่สุด” 

ตัวเลขต่าง ๆเหล่านี้ควรได้จากโรงพยาบาล มหาวิทยาลัยและโรงเรียนแพทย์ แต่ไม่ใช่โรงพยาบาลที่ถูกจำกัดงบไว้ ส่วนอาการ หรือโรคที่ควรจะทำได้เร็วที่สุดและดีที่สุดกลับถูกจำกัด และเมื่อโรคไม่สงบ ไม่ตรงความต้องการของคนป่วย โดยที่รับทราบเพียงแต่ว่ารัฐสามารถอุ้มชูการรักษาได้ทุกโรค
แต่...แท้ที่จริงแล้วมีข้อจำกัดนานัปการ ก่อให้เกิดความไม่เข้าใจและเกิดช่องว่างระหว่างผู้รักษาและคนป่วยมากขึ้นเรื่อยๆ ย้ำว่า “งบ” ที่ต้องการใช้จริง ที่จะทำให้ถึงการรักษาแบบอุดมคติได้นั้น ต้องตีแผ่ให้คนไทยทั้งประเทศทราบ แล้วจะทำให้คนไทยทุกคนทราบว่า งบที่ต้องการจริงนั้นมากกว่าที่มีปัจจุบันหลาย 10 ถึง 100 เท่า ที่จะครอบคลุมคนไทย ทุกคนที่มีระดับอาการและความซับซ้อนต่างๆกัน

คำถามสำคัญมีว่า...เป็นไปได้จริงหรือที่งบทั้งประเทศจะมีพอขนาดนั้น? และเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ให้เราทุกคนมีความตระหนักในการรักษาตัว ตั้งแต่เป็นเด็ก เพราะเมื่อเกิดโรค หมายความว่า เพาะบ่ม เต็มที่แล้วจึงเกิดอาการและอวัยวะเสียหายไปแล้ว...ถ้าไม่ดูแลรักษาตนเอง ร่วมด้วยช่วยกัน ทั้งประเทศคงไม่รอด

“30 บาทรักษาได้ทุกโรค” นั้น ดั้งเดิมสำหรับคนที่มีโอกาสน้อย และสำหรับคนรากหญ้า ดังนั้น ต้องถึงเวลาพิจารณาแล้วว่า คนที่พอช่วยได้ เริ่มมีฐานะ ควรต้องร่วมจ่ายด้วย มากบ้างน้อยบ้างก็ยังดี และเศรษฐีร่ำรวย ไม่ควรอยู่ในระบบนี้...การได้รับรู้ความจริง จะทำให้มีความตระหนักว่า ถ้าเจ็บป่วยแล้วจะต้องเผชิญกับอะไร

และ...แท้จริงแล้วมีข้อจำกัดมากมาย ทำอย่างไรจะทำให้มีความตระหนักรู้และรักษาตนเองให้ดีที่สุด นอกเหนือจากที่รู้ความจริงของงบประมาณที่จำกัด? “การศึกษา”...เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ให้คิดเป็นหา ข้อมูลเป็น และสามารถปรับเปลี่ยนประยุกต์ให้ใช้กับชีวิตของตนเองและครอบครัวได้
“ระบบการศึกษาของประเทศไทยอยู่ในระดับล้าหลังไม่สร้างเสริมปัญญาแต่ให้ทำตามคำสั่ง หรือทำตามระเบียบ เรารู้หรือไม่ว่ามลภาวะการปนเปื้อนด้วยสารพิษ สารเคมี มลภาวะ ในอากาศ อาหาร และน้ำเป็น ตัวการสำคัญของโรคทั้งหลาย?...เหล่านี้ก่อให้เกิดการอักเสบ พิสูจน์แล้วว่าทำให้เกิดโรคได้ทั่วร่างกาย ทุกอวัยวะ” รวมทั้ง “มะเร็ง” และ “สมองเสื่อม”
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ ย้ำว่า ตัวการที่ทำให้เกิดมลภาวะเหล่านี้เป็นที่ทราบกันแล้วว่าคืออะไรเกิดจากอะไรใครรับผิดชอบในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ...จะมีทางตกลง...มีกลวิธีใหม่เพื่อไม่ให้เกิดมลภาวะเหล่านี้ได้ไหม

แท้จริงแล้วน่าจะสรุปได้ง่ายก็คือการตีแผ่ความจริง ข้อจำกัดของงบประมาณของกำลังคน ไม่ว่าจะเป็นหมอ พยาบาล เภสัช ทันตแพทย์ เทคนิคการแพทย์ และอื่นๆ รับรู้ร่วมกัน เพื่อช่วยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ไม่ควร ทำร้ายกัน เมื่อไม่ได้ดั่งใจ เพราะนี่คือคนไทยด้วยกัน ที่อยู่ในแผ่นดินเดียวกัน และประสบปัญหาเหมือนกัน
“ถ้าไม่ช่วยกันเอง จะให้ใครมาช่วย”

หยุดกรองคนดีออกจากระบบ ตอกย้ำประเด็นสำคัญข้างต้นนี้ แม้ว่า ผ่านมากว่า 10 ปีแล้วก็ยังเป็นความจริงอยู่ ในทุกกรณีของ “มึงผิด... ข้าถูก” ลองหาสาเหตุสักนิดได้ไหมครับว่าทำไมเขาถึงผิด

“จริงอยู่ถ้าดูตามกระบวนเนื้อผ้าอาจจะตรงไปตรงมาว่าอย่างนี้ผิดแน่แต่การที่จะแก้ให้สถานการณ์ดีขึ้นไม่ผิดซ้ำซาก น่าจะดูที่สาเหตุ วิเคราะห์ ต้นเหตุและพยายามเข้าใจเพื่อนำไปสู่การแก้ที่รากเหง้าของปัญหา” ในส่วนที่เกี่ยวกับการแพทย์ สาธารณสุข แม้แต่ปัญหาขัดแย้งที่เกิดขึ้น ในส่วนของ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ หมอได้มีโอกาสพบปะคุยกับแพทย์ รุ่นน้องหลายคน...ขณะที่เล่าไปทุกคนหน้าตาหม่นหมอง บางคนน้ำตาซึม ซึ่งหมอคิดว่าจำเป็นที่ต้องแจกแจงสภาพของการทำงานของแพทย์ให้พวกเราที่ไม่ใช่แพทย์ได้รับรู้ “การที่จะฟ้องจะด่าว่าหรือเรียกค่าเสียหาย ถ้าจะถามว่ามีสิทธิ์ไหม คงไม่มีใครเถียงครับ แต่อยากให้ทราบสถานการณ์ สภาพการทำงานของแพทย์ขณะนี้บ้าง”

สรุป 2023...“บนหอคอยรับกันได้แล้วว่าคนไม่พอกับงาน ไม่ใช่แต่หมอ พยาบาล แต่ทุกส่วนและไม่ใช่แต่จำนวนอย่างเดียว ที่ขาดคือความรู้ ประสบการณ์ การตัดสินใจ ขาดพี่เลี้ยง ขาดความมั่นคงในชีวิต ความรู้สึกปลอดภัย...ขาดมันทุกอย่าง” มิติปัญหาของหมอในยุคปัจจุบันมีมากล้น หมอเองซึ่งทำงานในโรงเรียนแพทย์รู้สึกว่าเหมือนอยู่ในสวรรค์ ทั้งนี้ ภาระงานต่างกันมหาศาล เพราะ เรามีแพทย์ประจำบ้านเป็นตัวช่วย โดยที่มีส่วนทดแทนด้วยด้านวิชาการ การสอนหรือการวิจัย...ทำอย่างไรครับที่เราจะไม่ปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้ ดำเนินไปเรื่อยๆ

“...ไม่อยากเห็นแพทย์ที่ยังทนอยู่ในราชการได้ก็จะทำไปโดยหน้าที่ ไม่มีหัวใจ ขาดความกระตือรือร้นทำไปวันๆที่มีโอกาสมีทางออกก็เปลี่ยนอาชีพ หรือทำงานกับโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งงานเบากว่า และมีค่าตอบแทนสูงกว่าลิบลับ เพราะฉะนั้นที่ปรากฏอยู่ขณะนี้จะเป็นการกรองคนดีออกจากระบบหรือเปล่า”

ไม่ปฏิเสธหรอกครับ เราก็มีแพทย์พาณิชย์ หน้าเลือด คดโกงเพื่อหวังร่ำรวย แต่จริงหรือที่ “แพทย์” ทั้งประเทศจะเป็นเช่นนั้น.