คนงานชัยภูมิกลับแคมป์ ลูกโทรหาไม่รับสาย สุดท้ายโดนยิงโหด 2 นัด ทะลุศีรษะ ตำรวจเร่งล่าตัวผู้ก่อเหตุ
ชัยภูมิยิงโหด วานนี้(16 ก.ค.2566) เมื่อเวลาประมาณ 23.50 น. พ.ต.ท.ฐิติพัฒน์ คำรังสี สว.(สอบสวน) สภ.เมืองชัยภูมิ รับแจ้งว่า มีคนถูกยิงเสียชีวิต บริเวณหน้าที่พักคนงาน บริษัทโรงเหล็กแปรรูปแห่งหนึ่ง ตำบลหนองนาแซง อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ ถนนชัยภูมิ-สีคิ้ว จึงรุดไปตรวจที่เกิดเหตุพร้อมแพทย์โรงพยาบาลชัยภูมิ และ หน่วยกู้ภัยสว่างคุณธรรมชัยภูมิ
ที่เกิดเหตุพบร่างผู้เสียชีวิตชาย 1 ราย สภาพนอนหงาย ตกลงมาจากเก้าอี้ บริเวณหน้าที่พัก เลือดกระจัดกระจายบริเวณจุดที่พบศพ และมีเลือดไหลนองบริเวณศีรษะ สวมกางเกงชั้นในสีดำตัวเดียว ทราบต่อมาชื่อนายสัณต์ อายุ 42 ปี ชาวจังหวัดชัยภูมิ ซึ่งเป็นคนงานของบริษัทดังกล่าว
จากการสอบถามนายศิริชัย อายุ 18 ปี ลูกชายของผู้เสียชีวิต กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุพ่อ ออกจากบ้านพักที่ตำบลกุดตุ้มเพื่อที่จะมาพักก่อนที่จะทำงานในตอนเช้า เนื่องจากวันหยุดพ่อกลับไปที่บ้านและได้เปลี่ยนรถจักรยานยนต์กัน เพื่อที่จะเอารถของพ่อทิ้งไว้ให้ใช้ขี่ไปเรียนและไปสอบ หลังจากที่พ่อออกจากบ้านมา ก็พยายามที่จะโทรศัพท์หาพ่อ เพราะทุกครั้งที่พ่อมาถึงที่ทำงานหรือมาถึงที่แคมป์พัก พ่อก็จะโทรศัพท์บอก แต่วันนี้ไม่เห็นพ่อโทรหา ก็พยายามที่จะโทรกลับไปหาพ่อ แต่ไม่มีใครรับสาย กระทั่งเดินทางมาดูเอง ก่อนที่จะพบว่าพ่อเป็นศพนอนจมกองเลือดอยู่บริเวณหน้าที่พักแล้ว
ส่วนนางจันทร์แรม อายุ 45 ปี พี่สาวของผู้เสียชีวิต เล่าว่า น้องชายไม่ดื่มสุราและไม่เคยพูดเกี่ยวกับว่ามีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับใครและไม่เคยมีเรื่องกับใคร และ ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นกับคนในครอบครัว หลังจากที่เดินทางมาพบศพก็ได้แจ้งเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบ
ด้าน พ.ต.ท.ฐิติพัฒน์ คำรังสี สว.(สอบสวน) สภ.เมืองชัยภูมิ ได้เข้าตรวจสอบในที่เกิดเหตุก่อนประสานกองพิสูจน์หลักฐาน สภ.เมืองชัยภูมิ เข้าร่วมตรวจที่เกิดเหตุ พบร่องรอยกระสุนปืนไม่ทราบขนาดเจาะบริเวณขมับขวา และหน้าผากเยื้องขวา กระสุนทะลุทั้ง 2 นัด ใกล้กันยังพบโทรศัพท์มือถือของผู้เสียชีวิตตกอยู่ 2 เครื่อง และ พบรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ สีน้ำเงิน-ดำ ป้ายทะเบียน กษบ 2-- ชัยภูมิ ซึ่งเป็นรถจักรยานยนต์ของผู้เสียชีวิตจอดอยู่บริเวณด้านหน้าที่พักคนงาน จึงได้ทำการตรวจสอบ ก่อนที่จะมอบโทรศัพท์มือถือทั้ง 2 เครื่องของผู้เสียชีวิตให้กับทางเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนเพื่อเร่งทำการตรวจสอบและหาตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
