เช้านี้ที่หมอชิต - นายเศรษฐา ส่งทนายฟ้อง นายชูวิทย์ หมิ่นประมาท มีวาระซ่อนเร้น หวังผลการเมือง กรณีกล่าวหาซื้อขายที่ดินเลี่ยงภาษี พร้อมเรียกค่าเสียหาย 500 ล้านบาท ศาลนัดไต่สวน 9 ตุลาคมนี้
วานนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย มอบอำนาจให้นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความมายื่นฟ้อง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองดัง ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ที่นายชูวิทย์กล่าวหาว่า บริษัทแสนสิริ โดยนายเศรษฐา ซื้อที่ดินและหลีกเลี่ยงภาษี
นายวิญญัติ กล่าวว่า นายชูวิทย์มีเจตนาพูดไม่ครบถ้วน ให้ข้อเท็จจริงที่ให้เกิดความเข้าใจผิด และมีวาระซ่อนเร้นที่จะกลั่นแกล้ง การใส่ความนายเศรษฐาทำให้ประชาชน และสมาชิกรัฐสภาเชื่อว่า นายเศรษฐากระทำผิดกฎหมาย เพื่อหวังผลทางการเมือง ซึ่งได้ยื่นฟ้อง พร้อมเรียกค่าเสียหายจากนายชูวิทย์เป็นเงิน 500 ล้านบาทถ้วน พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น
นายวิญญัติ ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่ใช่การเลี่ยงภาษี แต่เป็นการวางแผนด้านภาษี ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย
โดยศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องวันที่ 9 ตุลาคมนี้ โดยตนเตรียมพยานวันบุคคล 7-8 ปาก และพยานเอกสารที่เกี่ยวข้องมาแสดงต่อศาล
ขณะที่ นายเศรษฐา โพสต์ผ่านทวิตเตอร์ว่า ขอยืนยันว่า แสนสิริ ขับเคลื่อนภายใต้หลักธรรมาภิบาล การปฏิบัติหน้าที่ขณะนั้นเป็นไปตามกรอบกฎหมาย เพื่อความเข้มแข็งขององค์กร กรณีนี้เป็นการกล่าวหาให้เกิดความเสียหาย จึงขอใช้สิทธิ์ตามกฎหมาย ให้ทนายความฟ้องร้องดำเนินคดีกับคุณชูวิทย์ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ตามข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน
ขณะที่ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้เคยร่วมเรือนจำเดียวกันกับนายชูวิทย์ ตั้งโต๊ะแถลงหัวข้อ "แฉเพื่อชาติ หรือแฉเพื่อใคร?" ว่า การแถลงข่าวของนายชูวิทย์ เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม ที่ผ่านมา เหมือนกับเอาแพะชนแกะ พูดความจริงครึ่งเดียว ถ้าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง ผู้ขายก็ไม่สามารถขายและโอนได้ และถูกสรรพากรฟ้องร้อง ไม่ปล่อยให้เนิ่นนานจนถึงมือนายชูวิทย์
จากนั้น นายพร้อมพงศ์ เปิดหลักฐานเป็นภาพถ่ายที่นายชูวิทย์เคยไปพบกับผู้บริหารแสนสิริ พร้อมนายเศรษฐา และจับมือกับนายเศรษฐา เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2565 เพื่อเสนอขายที่ดินตัวเองให้บริษัทแสนสิริ ซึ่งเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่นายชูวิทย์ขายให้บริษัทไรมอนด์ แลนด์ จำกัด (มหาชน) แต่ต่อมาติดปัญหา นายชูวิทย์ จึงเสนอขายให้กับบริษัทแสนสิริ
เมื่อบริษัทแสนสิริฯ รู้ว่าที่ดินแปลงนี้ติดสัญญากับบริษัทไรมอนด์ฯ จึงให้ไปเคลียร์ก่อน จนสุดท้ายบริษัทแสนสิริ ปฏิเสธการซื้อขาย จึงคาดว่าเป็นสาเหตุทำให้นายชูวิทย์โกรธเคือง
ส่วนที่นายชูวิทย์ บอกว่า แฉเพื่อชาติ ขอถามกลับว่าแฉเพื่อใคร เพราะคนในวงการรู้ว่านายชูวิทย์สนิทกับบิ๊กทหารคนไหน ขอถามว่านายชูวิทย์รับงานใครมา หวังผลทางการเมืองเพื่อให้ใครกลับมาเป็นนายกฯหรือไม่
ขณะที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ กล่าวถึงกรณีที่นายเศรษฐามอบหมายทนายความฟ้องร้องดำเนินคดี ว่าขนลุก ตอนนี้ตนมี 21 คดี จะอีกคดีหนึ่งก็ไม่เป็นไร ก็ถือว่าทำเพื่อชาติบ้านเมือง คุณสมบัติของนายเศรษฐา เป็นสิ่งที่ประชาชนอย่างตนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้
คนที่เป็นนายกจะต้องดี 100% ไม่ใช่ดีเพียง 50% ซึ่งตนปรึกษากับทนายความแล้วว่าจะฟ้องกลับนายเศรษฐาอีกรอบเลยดีหรือไม่ เพราะถือเป็นการกลั่นแกล้งให้ตนปิดปาก ซึ่งคนใส่สูทเวลาจะปล้นไม่ได้ใช้ปืนแต่ใช้กฎหมายเว้นวรรค
จากนั้น นายชูวิทย์ นำเอกสารหลักฐานมายื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าพนักงานที่ดินเขตพระนคร กรณีปล่อยปละละเลยให้มีการหลีกเลี่ยงภาษีโอนซื้อขายที่ดิน
ซึ่งนายชูวิทย์ ก็ตอบโต้นายพร้อมพงศ์ กรณีที่มีภาพปรากฎว่า พูดคุยกับนายเศรษฐาว่า ภาพดังกล่าวได้พูดคุยกันจริง แต่ครั้งนั้นนายเศรษฐา ส่งคนมาเชิญไปคุยเพื่อขอซื้อที่ดิน แต่ที่ดินผืนดังกล่าวยังติดสัญญาอยู่กับบริษัทไรมอนแลนด์ จึงไม่สามารถขายให้นายเศรษฐาได้ ซึ่งการพูดคุยครั้งนั้นไม่ได้มีปัญหาใด ๆ
ส่วนที่กล่าวหาว่า ที่ตนออกมาแฉเพื่อจะยกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้กับ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ นั้น ไม่เป็นความจริง เพราะตนไม่ได้มีปัญหากับพรรคเพื่อไทย ที่ออกมาแฉทั้งหมดก็มีพยานหลักฐาน หากคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี มีเล่ห์เหลี่ยมทางการค้า ออกอุบายหลีกเลี่ยงภาษี ตนรับไม่ได้ จึงมองว่า นายเศรษฐา ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอในการเป็นนายกฯ