ห้องข่าวภาคเที่ยง - เปิดประเด็นข่าววันนี้ เรียกได้ว่าช่อง 7HD ของเราติดตามกันแบบข้ามปีเลยทีเดียว กับคดีค้ายาเสพติดข้ามชาติ ที่โด่งดังในปี 2564 ตรวจยึดเฮโรอีน 446 กิโลกรัม ได้ที่ไต้หวัน ส่งตรงไปจากประเทศไทย มีมูลค่ากว่าหกพันล้านบาท ล่าสุด สปป.ลาว ส่งตัว 1 ในผู้ต้องหา กลับมาดำเนินคดีที่บ้านเราในวันนี้
ย้อนคดีดังปี 64 ค้ายาเสพติดข้ามชาติ มูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท
ก่อนอื่นเราไปไล่ที่มา ที่ไปของคดีนี้ก่อนคุณผู้ชม เมื่อปลายปี 2564 ไต้หวันมีการแถลงข่าวใหญ่ว่ายึดไม้แปรรูป 2,500 ท่อน มาจากประเทศไทย และจากการตรวจ X-ray พบว่ามีไม้ 1,272 ท่อน ซุกซ่อนเฮโรอีนไว้ และในจำนวนนี้มี 100 ท่อน มีเฮโรอีน ประทับตราสิงโตคู่เหยียบโลก เพื่อบ่งบอกว่าเป็นเฮโรอีนเกรดพรีเมียม ซึ่งรวมมูลค่าแล้วมหาศาลเลยกว่า 6 พันล้านบาท
หลังเกิดเรื่องฉาว กระฉ่อนไปทั่วโลก ทางการไทย ทั้ง ป.ป.ส., ตำรวจ ปส., ศุลกากร รับลูกด้วยการขยายผล จนสุดท้าย พบว่า เจ้าของโรงไม้ที่ส่งออกไปนั้น คือ นายสัญญา อายุ 39 ปี และ นายบุญรอด อายุ 53 ปี
จากการตรวจสอบพบว่า นายบุญรอด 1 ในตัวการใหญ่ เป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ สังกัดกรมป่าไม้ ใช้อำนาจหน้าที่ของตนเองไปในทางที่มิชอบ ลักลอบส่งยาเสพติดไปยังประเทศที่ 3 ซึ่งขณะนั้นยังปากแข็งบอกไม่รู้เรื่อง มีคนลักลอบเอาไม้มาเปลี่ยน และไม่รู้ว่ามีเฮโรอีนอยู่ข้างใน
ตอนนั้น บอกตัวเองบริสุทธิ์ พาค้นโรงงาน ยังบอกด้วยว่า พาตำรวจไปชี้เป้า แต่สุดท้ายหลักฐานมัดแน่นถูกจับนอนคุก ต่อมาธันวาคม 2565 นายสัญญา กับ นายบุญรอด ได้ยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวระหว่างรอศาลพิจารณาคดี ศาลตีราคาเป็นเงิน 600,000 บาท พร้อมสั่งติดกำไล EM ทุกอย่างเหมือนจะจบ เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย แต่ นายสัญญา ไม่สำนึก โดนจับแล้ว ศาลเมตตาปล่อยตัวให้ประกัน (ปกติคดียาเสพติดนี่ยากนะคุณผู้ชมที่จะได้รับการประกันตัว เพราะส่วนใหญ่ผู้ต้องหากลุ่มนี้ยอมทุ่มเงินประกัน และจะหลบหนี ทิ้งเงิน) ออกมาปุ๊บ ก็กลับมาค้ายาเสพติดเหมือนเดิม รอบนี้ผันจากเฮโรอีนมาเป็นไอซ์ เป็นนายหน้า คอยประสานสั่งไอซ์จากประเทศเพื่อนบ้านเข้าไทยตามออร์เดอร์
ล่อซื้อจับ สัญญา ค้ายาเสพติด ขณะติดกำไลอีเอ็ม
ตำรวจ ปส. ขยายผลจากการข่าว จนสามารถล็อกตัวได้ จึงทำการล่อซื้อไอซ์ 250 กิโลกรัม เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา ตอนทำการเจรจาจะวางเงินมัดจำ นายสัญญาก็มาพร้อมกำไล EM เลย โดยมี นายมีชัย เป็นลูกน้อง เจรจาซื้อขายกับชุดล่อซื้อเรียบร้อย ตำรวจก็โชว์เงินไปเลย 5 ล้านบาท พอนายสัญญาเห็น ก็ยกหูตอนนั้นเลย สั่งไอซ์ 250 กิโลกรัม จากเพื่อนบ้าน แค่กริ๊งเดียว ไอซ์จากเพื่อนบ้านส่งมาในวันรุ่งขึ้น (18 พ.ค.)
และภาพที่คุณผู้ชมเห็นอยู่นี้ คือวันที่ นายสัญญา ไปตกลงเรื่องเงินจำนวน 5 ล้านบาท เพื่อขายไอซ์ 250 กิโลกรัม ให้กับชุดล่อซื้อ แต่เจ้าตัวก็เรียกว่าฉลาดเป็นกรด ไม่ได้มาด้วยตัวเอง ส่ง นายมีชัย ลูกน้อง กับผู้ต้องหาหญิงอีก 1 ราย มาเป็นคนส่งยาแทน ตัวเองทำหน้าที่แค่รอรับเงิน
หลังจับลูกน้องได้ ตำรวจ ปส. ให้โทรไปหา นายสัญญา ไอซ์ที่ขนมาจะส่งไปให้ใคร ต้องติดต่อใคร แต่เหมือน นายสัญญา จะไหวตัวทัน ถามหาแต่ผู้ต้องหาหญิงอีกราย ก่อนจะตัดสายทิ้งไป หลังจากรู้ว่าลูกน้องโดนจับ 19 พฤษภาคม ตรวจพบสัญญาณกำไล EM ของ นายสัญญา ที่จังหวัดหนองคาย
ก่อนนายสัญญาจะทำลายกำไล EM ทิ้ง หนีข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน สปป.ลาว แล้วหนีไป ไม่ใช่แค่ไปกบดาน เพราะว่าจากข้อมูลของชุดสืบสวน พบว่า ยังไปทำหน้าที่สั่งการ สั่งยาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้านให้ส่งมาในประเทศไทยอีก เรียกได้ว่า ไม่มีสำนึก ยังเดินหน้าค้ายาเสพติดต่อเนื่อง ลูกน้อง หรือใครจะโดนจับก็ช่าง มุ่งค้ายาฯ ลูกเดียว
สปป.ลาว ส่งพ่อค้ายาเสพติดข้ามชาติ ดำเนินคดีในไทย
เดินหน้าค้ายาเสพติดหนักขนาดนี้ พลตำรวจเอก ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร. บินด่วนไปเลย ไปประสานงานที่ สปป.ลาว ขอความร่วมมือจับตัวนายสัญญา จนล่าสุดหนีความผิดไม่พ้น สปป.ลาว สามารถจับนายสัญญาได้ และส่งมอบตัวให้ทางการไทยดำเนินคดีในวันนี้ เราส่งคุณรัตนกรณ์ โต๊ะหมัด ไปกับทีมรับตัวผู้ต้องหารายนี้กลับมาดำเนินคดีในไทยด้วย
ซึ่งเมื่อเวลา 10.47 น. ทางการ สปป.ลาว ก็ได้ส่งตัว นายสัญญา ให้ตำรวจไทยแล้ว เบื้องต้น ส่งตัวในฐานะต่างด้าวหลบหนีเข้าประเทศผิดกฎหมาย ตำรวจจึงได้แสดงหมายจับ โดย นายสัญญา ก็รับว่า เป็นตัวเขาเอง
จากการสอบปากคำ เบื้องต้น นายสัญญา ให้การว่า หลงผิดไปเพียงชั่วครู่ ส่วนที่หนีมา สปป.ลาว เพราะมีอาขีพขายไก่อยู่ที่นี้ พร้อมยืนยันว่า การถูกจับ เมื่อปี 2664 ตนเองไม่ได้ทำความผิด เพียงแต่มีขื่อเป็นเจ้าของโรงงาน ส่วนคดี ล่าสุดก็ยอมรับผิด และพร้อมต่อสู่ตามกระบวนการยุติธรรม
ทีนี้เรามาดูสถิติของ ตำรวจ ปส. กันบ้าง 10 เดือน ไล่มาตั้งแต่เดือนตุลาคมปีก่อนถึง 31 กรกฏาคมปีนี้ สามารถจับกุมยาบ้าได้มากถึง 200 ล้านเม็ด, เฮโรอีน 1.2 ตัน, ไอซ์ 12,300 กิโลกรัม, คีตามีน 2,080 กิโลกรัม นอกจากนี้ยังยึดอายัดทรัพย์ที่เกี่ยวข้องได้มากกว่า 3,500 ล้านบาท
ปัญหายาเสพติดยังเป็นมะเร็งร้ายกัดกร่อนทำลายประเทศ ซึ่งหลายพรรคการเมืองต่างก็ประกาศจะเข้ามากวาดล้าง หลังจากนี้ก็คงต้องรอดูว่ารัฐบาลใหม่จะดำเนินการได้อย่างจริงจังแค่ไหน