ห้องข่าวภาคเที่ยง - ไป ๆ มา ๆ สรุปแล้ว เรื่องที่เด็กหญิงอายุ 13 ปี บอกว่าถูกคนขับรถตู้ล่วงละเมิดทางเพศ ระหว่างเดินทางจากจังหวัดขอนแก่น ไปหาพ่อกับแม่ที่กรุงเทพมหานคร ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าน่าจะไม่จริง และเด็กหญิงก็ยอมรับสารภาพแล้วว่า กุเรื่องทั้งหมดขึ้น ตำรวจเตรียมแถลงสรุปผลการสอบสวนข้อเท็จจริง 14.00 น. ของวันนี้
เรื่องนี้ต้องใช้คำว่าเป็นข่าวใหญ่ เพราะสังคมพิพากษากันไปก่อนแล้วว่า นายเดช คนขับรถตู้ อายุ 50 ปี ตกเป็นจำเลยสังคม คือ ก่อเหตุข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุ 13 ปี ระหว่างนั่งรถตู้โดยสารจากจังหวัดขอนแก่น ไปหาพ่อและแม่ช่วงปิดภาคเรียน โดยมี คุณย่า อายุ 63 ปี สังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับหลานสาว ร้องขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
โดย คุณย่า อายุ 63 ปี บอกว่า เมื่อช่วงวันที่ 1-2 ตุลาคมที่ผ่านมา หลานสาวได้เดินทางไปหาพ่อและแม่ที่กรุงเทพฯ ช่วงปิดเทอม ได้ใช้บริการรถตู้โดยสารในจังหวัด พาหลานไปส่งถึงที่บ้านที่กรุงเทพฯ ช่วงเที่ยงของวันที่ 2 ตุลาคม คนในบ้านก็สังเกตเห็นหลานสาวเงียบผิดปกติ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่ง 31 ตุลาคม ได้เรียกรถตู้คันเดิมให้พากลับมาส่งที่ขอนแก่น
ตอนกลับมาที่บ้าน พบพิรุธว่าหลานสาวไม่ยอมหลับ นอนพนมมือ พูดพร่ำถึงชื่อของ นายเดช คนขับรถตู้ จึงพยายามชวนคุยจนรู้ว่า ถูก นายเดช ข่มขืน หลังตระเวนส่งผู้โดยสารจนหมด เหลือหลานสาวเป็นผู้โดยสารคนสุดท้าย จากนั้นก็เข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.แวงน้อย บอกเล่าว่า หลานสาวถูกคนขับรถตู้ข่มขืนจนเลือดไหล มีอาการคล้ายคนสติแตก พูดจาไม่รู้เรื่อง กลัวคดีจะไม่คืบหน้า จึงอยากขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชน แต่ขณะเดียวกันก็เล่าด้วยว่า นอกจากหลานสาวแล้ว ปรากฏว่าหลานชายยังมีอาการคล้ายถูกวางยา ซึ่งไม่แน่ใจว่าเกิดจากยาเสพติด หรือได้รับผลกระทบทางจิตใจด้วย
แน่นอนว่าเรื่องนี้พอกลายเป็นข่าว ทั้งตำรวจ แพทย์ เจ้าหน้าที่ผู้ตรวจการกรมการขนส่งทางบกประจำจังหวัด ก็แยกย้ายกันไปพิสูจน์ข้อเท็จจริง เริ่มจากเชิญตัวคนขับรถตู้มาสอบปากคำ เรียกเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานไปตรวจสอบสภาพภายในรถ สอบปากคำพยานแวดล้อมต่าง ๆ ตรวจสภาพร่างกายและสภาพจิตใจของผู้เสียหาย ไปพูดคุยกับภรรยาของคนขับรถตู้ ดูเอกสารบันทึกข้อมูลการเดินทาง
แล้วอะไรที่ทำให้พบพิรุธในคดีนี้ เนื่องจากเหตุการณ์ตามคำให้การณ์ระบุว่า เหตุการณ์น่าจะเกิดขึ้นในพื้นที่กรุงเทพฯ ดังนั้น ตำรวจ สน.บางกอกใหญ่ จึงมีส่วนที่ต้องเข้าไปร่วมสืบสวนหาข้อเท็จจริงในคดีนี้ เรื่องเลยถูกส่งต่อไปให้ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ช่วยคลี่คลายอีกทางหนึ่ง ตำรวจจึงแบ่งหน้าที่หาข้อเท็จจริง
ประเด็นสำคัญ คือ การหาข้อสรุปว่ามีการข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงจริงหรือไม่ ตำรวจใช้วิธีการเรียกผู้โดยสารที่อยู่ในรถตู้ทั้งคันมาสอบสวน ทำให้พบว่า นอกจากเด็กหญิงอายุ 13 ปีแล้ว ในวันเกิดเหตุมีผู้โดยสารอยู่บนรถตู้คันนี้เต็มคันรถ โดยคนขับทยอยรับผู้โดยสารจากหมู่บ้านต่าง ๆ ในจังหวัดขอนแก่นมาขึ้นรถ จากลำดับเวลาและเส้นทาง พบว่าผู้โดยสารคนแรก เริ่มลงจากรถที่ย่านโรจนะ คนที่ 2 ลงที่ย่านรังสิต คนที่ 3 มาลงที่หมอชิต 2 คนที่ 4 ลงที่ ซอยอินทามระ 41 คนที่ 5 ลงที่ซอยร่มเกล้า 21 คนที่ 6 ลงที่ซอยฉลองกรุง 47 คนที่ 7 ลงที่ ซอยวัดปลัดเปลื้อง คนที่ 8, 9 และ 10 ลงที่โครงการเอื้ออาทร คนที่ 11 ลงที่ย่านเอกมัย คนที่ 12 ลงที่ย่านสามเสน ซอย 6 จนมาถึงคนที่ 13 เด็กหญิงอายุ 13 ปี ลงที่ซอยวังเดิม ซอย 5 และคนสุดท้ายลงที่ย่านพุทธมณฑลสาย 2 จากภาพแผนผังเห็นได้ชัดเจนว่า เด็กหญิงผู้เสียหายอยู่กลางรถ ห้อมล้อมไปด้วยคนที่นั่งอยู่ก่อนเต็มไปหมด และคนสุดท้ายที่ลงจากรถก็ไม่ใช่เด็กหญิง จึงพิสูจน์ได้ว่าคนขับไม่น่าลงมือก่อเหตุได้จริง
อย่างที่ ผู้บังคับการสืบสวนนครบาล บอกว่า สรุปแล้วตัวเด็กหญิงยอมรับกับตำรวจ และทีมจากสหวิชาชีพแล้วว่า เรื่องทั้งหมดเป็นตัวเองกุขึ้นมาเอง ช่วงบ่ายวันนี้ พลตำรวจจตรี อนุวัตร สุวรรณภูมิ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น ก็จะได้แถลงข่าวชี้แจงเรื่องนี้อย่างละเอียดทั้งหมด ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น
และเมื่อช่วงเช้าผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์ไปสอบถาม นายเดช คนขับรถตู้ หลังเด็กยอมรับว่าเป็นคนกุเรื่องขึ้นมา ก็บอกด้วยน้ำเสียงดีใจว่า ขอบคุณตำรวจที่เร่งพิสูจน์ความจริงให้สังคมทราบ เพราะตอนนี้ตนเองและครอบครัวก็ได้รับผลกระทบ ถูกมองเป็นคนไม่ดี ส่วนเรื่องการเยียวยา หรือฟ้องกลับ ก็ยังไม่คิด ขออยู่เงียบ ๆ ก่อน
ต้องไม่ลืมคำถามสำคัญว่า สรุปแล้วเพราะเหตุใดเด็กหญิงคนนี้จึงตัดสินใจกุเรื่องขึ้น และร่องรอยการถูกล่วงละเมิดทางเพศที่แพทย์ระบุว่าเป็นแผลเก่า แสดงว่ามีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นกับเด็กคนนี้จริง ทำให้เรื่องนี้คงไม่จบเพียงแค่คดีพลิก หรือเป็นเพียงเรื่องโอละพ่อเท่านั้น
