สนามข่าวเสาร์-อาทิตย์ - เมื่อเดือนกันยายน มีหนุ่มลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส เจ้าของธุรกิจก่อสร้าง ไปแจ้งความกับตำรวจสอบสวนกลาง ว่าถูกคนร้ายหลอกขายนาฬิกาหรูรุ่นหายาก เสียเงินไปกว่า 800,000 บาท เมื่อวานผู้เสียหายอีกคนที่ถูกหลอกซ้อนกลให้เข้าใจผิด จากมิจฉาชีพคนเดียวกัน พากันไปร้องทุกข์ขอให้ตำรวจไซเบอร์ช่วยเหลือ
เริ่มจาก นายวรินทร หนุ่มลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส เจ้าของธุรกิจก่อสร้าง เป็นคนแรกที่เคยตกเป็นเหยื่อถูกมิจฉาชีพรายนี้หลอก และได้เข้าร้องขอความช่วยเหลือกับตำรวจสอบสวนกลาง ว่าไปเจอคนประกาศขายนาฬิกาหรูรุ่นหายาก ราคา 1.1 ล้านบาท จึงตกลงขอซื้อ และนัดพบกันที่ห้างฯ เซ็นทรัลเวิลด์ แต่ปรากฏว่าหลังโอนเงินไปแล้ว กลับถูกอีกฝ่ายอ้างว่าไม่ได้รับเงิน พยายามจะนำนาฬิกากลับคืนไป จนต้องไปพูดคุยกันที่ สน.ปทุมวัน จึงรู้ความจริงว่ามีมิจฉาชีพหลอกว่าจะขอซื้อนาฬิกา แล้วนัดพบกันที่ห้างฯ ดังกล่าว แต่ไม่มีการโอนเงินให้ จึงไม่มอบนาฬิกาให้ไป ตอนนั้นตำรวจจึงยึดนาฬิกาเรือนนี้ไว้เป็นของกลาง ระหว่างรอการพิสูจน์ว่านาฬิกาเรือนนี้ควรเป็นของใครกันแน่
กระทั่งเมื่อวานนี้ นายภาคภูมิ ตั้งสง่า หรือ "ดีเจภูมิ" พา นางสาวเพ็ญพร วงศ์นพรัตน์เลิศ หุ้นส่วนบริษัทรองเท้าของตนเอง มาร้องขอความช่วยเหลือกับ พลตำรวจตรี ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผู้บังคับการ สอท.1 ว่าตนเองไปเจอเพจขายนาฬิกาหรูรุ่นหายาก ที่หุ้นส่วนคนดังกล่าวต้องการ จึงแนะนำให้ติดต่อไปพูดคุย และได้ตกลงนัดหมายขอซื้อนาฬิกา ปรากฏว่าพอถึงเวลานัดหมาย กลับพบว่าคนที่นำมาขายเหมือนถูกหลอกให้มาพบเช่นกัน จึงรู้ว่าหลงกลมิจฉาชีพ จึงได้นัดเพื่อนร่วมงาน และนายวรินทร ที่เคยถูกหลอกแบบเดียวกัน มาขอความช่วยเหลือกับตำรวจไซเบอร์
ขณะที่ พลตำรวจตรี ชัชปัณฑกาณฑ์ บอกว่า เนื่องจากทั้ง 2 คดี ตำรวจท้องที่ได้รับแจ้งความไว้ก่อนแล้ว ตำรวจไซเบอร์จึงช่วยได้เพียงการสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิด และเส้นทางการเงินทางดิจิทัลคู่ขนานไปกับตำรวจท้องที่ ซึ่งยอมรับว่าเป็นเรื่องค่อนข้างยาก แต่จะพยายามช่วยสืบสวนวิเคราะห์ เพื่อหาทางติดตามเงินมาคืนผู้เสียหาย และระบุตัวคนร้ายที่ก่อเหตุให้ได้