ข่าวใหญ่ : เปิดเทอมเดือด! ตีกันระบาด

View icon 17
วันที่ 21 พ.ย. 2566 | 11.22 น.
ห้องข่าวภาคเที่ยง
แชร์
ห้องข่าวภาคเที่ยง - เปิดเทอมใหม่ได้เพียง 10 วัน เหมือนอัดอั้น กลุ่มวัยรุ่นก่อเหตุทะเลาะวิวาท ดักทำร้าย ยิงคู่อริ เกือบจะวันเว้นวัน เราเพิ่งเสีย "ครูเจี๊ยบ" และ นักศึกษาอุเทนถวาย คดียังจับตัวคนร้ายไม่ได้ ก็มาเกิดเหตุใหม่เมื่อวานนี้ขึ้นอีก แถมทั้ง 2 คดี ยังเหมือนเลียนแบบตาม ๆ กันมา ทั้งวางแผน สำรวจเส้นทาง และเลือกจุดที่จะก่อเหตุเหมือนกัน 

ไม่อยากพูดแบบนี้ แต่เราคงไม่ได้เห็นน้ำตาของคนเป็นพ่อเป็นแม่แบบนี้เป็นครั้งสุดท้าย เพราะกว่า 10 วันที่ผ่านมา มีเหตุการณ์สะเทือนขวัญ จากการทะเลาะวิวาท ดักยิงคู่กรณีด้วยฝีมือของกลุ่มวัยรุ่น ที่ตอนนี้รวม ๆ ไม่ต่ำกว่า 6 คดีแล้ว อย่างเหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้าของเมื่อวานใกล้ ๆ 08.00 น. บริเวณกลางซอยระนอง 2 เขตดุสิต กรุงเทพฯ ผู้เสียชีวิตเป็นนักเรียน ชั้นปีที่ 2 อายุเพียง 16 ปี เรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนอาชีวะใกล้ ๆ จุดเกิดเหตุ ตามคำให้การ ขณะนั้นผู้เสียชีวิตนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มารอเพื่อน จู่ ๆ ก็มีวัยรุ่นชาย 3 คน ขี่รถจักรยานยนต์ 2 คัน ประกบยิงผู้เสียชีวิต ก่อนจะขี่รถหลบหนีไปทางถนนพระราม 5

หลังเกิดเหตุตำรวจเรียกประชุมติดตามความคืบหน้าคดีนี้ทันที ตั้งปมแนวทางการสืบสวนไว้ที่ 3 ประเด็น คือ ความขัดแย้งส่วนตัวของผู้เสียชีวิต ความขัดแย้งที่เกิดจากเพื่อน และปัญหาต่างสถาบัน เชื่อว่าคนร้ายมีการวางแผนมาก่อน

จากนั้นตำรวจก็นำภาพ รูปพรรณสันฐานของผู้ก่อเหตุ ไปโพสต์ลงเฟซบุ๊ก ฝากประชาชนช่วยแจ้งเบาะแสตามหาคนร้าย ที่มีลักษณะสวมเสื้อแจ็กเกตสีดำ กางเกงขายาว รองเท้าผ้าใบ ใส่หน้ากากอนามัยและสวมหมวกกันน็อกเต็มใบ รถจักรยานยนต์ 2 คัน ที่ใช้ก่อเหตุ คันหนึ่งยี่ห้อ ยามาฮ่า สีขาวแดง อีกคันยี่ห้อเดียวกันแต่คนละรุ่น สีเทา ไม่ติดป้ายทะเบียนเหมือนกันทั้ง 2 คัน

วิธีการก่อเหตุลักษณะแบบนี้ เหมือนกำลังถูกลอกเลียนตาม ๆ กันมา นับตั้งแต่ที่เริ่มมีเหตุยิงนักเรียนอาชีวะ เสียชีวิตที่แยกกำนันแม้น เดือนกรกฎาคมเมื่อปีที่แล้ว และเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องที่มีการยิงนักศึกษาคู่อริ ของสองสถาบันชื่อดัง ย่านปทุมวัน ตามมาอีกหลายคดี ก่อนนำไปสู่การจับกุมนักศึกษา และอดีตนักศึกษาอุเทนถวายกว่า 10 คน ที่เป็นแก๊งอาชญากรรมขนาดเล็ก

โดยรูปแบบที่เหมือนกัน กลุ่มผู้ก่อเหตุจะวางแผนกำหนดเป้าหมาย เลือกเด็กเข้าใหม่ชั้นปี 1 หรือ ปี 2 มีผลการเรียนดี ความประพฤติดี ไม่ใช่กลุ่มเกเร เนื่องจากกลุ่มนี้ระมัดระวังตัวน้อยกว่ากลุ่มที่มีประสบการณ์ ก่อนก่อเหตุจะมีการสำรวจเส้นทางหลบหนี เลือกเส้นทางที่ไม่มีกล้องวงจรปิด ศึกษาพฤติกรรมเป้าหมาย ให้แน่ใจว่าเบาะแสสาวไม่ถึงตัว จึงลงมือ

แล้วหากเราไล่เรียงไทม์ไลน์ในช่วง 10 กว่าวันที่ผ่านมา เกิดอะไรขึ้นบ้าง เริ่มจากวันที่ 11 พฤศจิกายน 2 คนร้ายขี่รถจักรยานยนต์ ดักยิงนักศึกษามหาวิทยาลัยราชมงคลฯ วิทยาเขตอุเทนถวาย บาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา กระสุนยังพลาดไปถูก "ครูเจี๊ยบ" ครูสอนคอมพิวเตอร์ ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เสียชีวิต จนถึงตอนนี้ยังจับกุมตัวไม่ได้

2 คืนต่อมา วันที่ 13 พฤศจิกายน กลุ่มวัยรุ่นก็ก่อเหตุยกพวกตีกัน บนถนนเลียบคู่ขนานมอเตอร์เวย์ กรุงเทพฯ-ชลบุรี ย่านสวนหลวง เขตประเวศ ปาระเบิดปิงปอง และชักปืนยิง ทำให้มีเยาวชนชาย อายุ 15 ปี เสียชีวิต 1 คน

อีก 2 วันก็เกิดเหตุขึ้นในต่างจังหวัด พื้นที่จังหวัดสมุทปราการ วัยรุ่นนับสิบคน รุมทำร้ายนักเรียนอาชีวะ ที่ไปเดินเที่ยวงานได้รับบาดเจ็บ

ส่วนที่ จังหวัดสมุทรสาคร กลุ่มวัยรุ่นไล่ฟันนักเรียนได้รับบาดเจ็บ ก่อนรีบขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไป

เมื่อวาน วัยรุ่น 3 คน ขี่รถจักรยานยนต์ 2 คัน ไปยิงนักเรียนอาชีวะ เสียชีวิตระหว่างรอเพื่อน ในซอยระนอง 2 เขตดุสิต และล่าสุดเมื่อคืน วัยรุ่นเจ้าถิ่นและต่างถิ่นยกพวกเปิดศึกไล่ฟัน ไล่ตี ปาระเบิดใส่กันกลางถนน หน้าวัดแม่น้ำปลื้ม ตำบลหัวรอ อำเภอพระนครศรีอยุธยา

ที่ผ่านมา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติทุกยุคทุกสมัย มีมาตรการป้องปราม แผนเผชิญเหตุ หามาตรการป้องกันปัญหานี้มาโดยตลอด อย่างล่าสุด ก็เพิ่งมีคำสั่งคาดโทษ หากพื้นที่ใดปล่อยปละละเลย จะเอาผิดกับผู้บังคับการจังหวัดนั้น ๆ ด้วย

หลายพื้นที่ก็พยายามเสนอแผนที่จะป้องกันปัญหา อย่างในพื้นที่นครบาลที่เพิ่งประชุมไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ก็เสนอแผน "มีนบุรีโมเดล" ที่เพิ่มมาตรการเชิงรุกกับสถาบันการศึกษาที่เป็นเป้าหมาย ด้วยการลงพื้นที่ไปพูดคุยทำความเข้าใจ หาแนวความร่วมมือระหว่างตำรวจ ครู ผู้ปกครอง และนักเรียน นักศึกษา สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ ที่เมื่อเด็กก่อเหตุผู้ปกครองต้องร่วมรับผิดชอบ จัดทำข้อมูลคนที่เป็นหัวโจก ขึ้นบัญชีเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เฝ้าระวังโซเชียล ป้องปราม ยั่วยุ นัดรวมตัวทะเลาะวิวาท และตั้งด่านสกัดกวดขันวินัยจราจร ขึ้นทะเบียนข้อมูลรถทุกคัน ซึ่งใช้มาตั้งแต่หลายปีก่อน จนทำให้การก่อเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างสถาบันลดน้อยลงจนแทบไม่มี เหลือเพียงการก่อเหตุแบบบังเอิญเจอกันบนถนนเท่านั้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง