เอกชนเชื่อค่าไฟฟ้าปรับขึ้นยาก

ห้องข่าวภาคเที่ยง - เมื่อวานนี้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน มีมติเคาะอัตราเรียกเก็บค่าไฟฟ้างวดเดือนมกราคม ถึงเดือนเมษายนปีหน้า จากที่เรียกเก็บ หน่วยละ 3 บาท 99 สตางค์ เพิ่มเป็นหน่วยละ 4 บาท 68 สตางค์ เกือบ ๆ หน่วยละ 5 บาททีเดียว ตัวเลขพุ่งพรวดพราดแบบนี้ ทำให้หลาย ๆ คนสตันต์ 3 วินาที บางสื่อพาดหัว "ช็อก ค่าไฟฟ้า" ไปสอบถามประชาชนเขาคิดเห็นอย่างไร

เอกชนเชื่อค่าไฟฟ้าปรับขึ้นยาก
ภาคการผลิต มองว่า การจะขยับขึ้นค่าไฟฟ้า จากหน่วยละ 3 บาท 99 สตางค์ เป็น หน่วยละ 4 บาท 68 สตางค์ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแน่นอนจะกระทบต้นทุนการผลิต ก่อนหน้านี้ ค่าไฟก็พุ่งเกิน หน่วยละ 3 บาท 99 สตางค์มาแล้ว ซึ่งภาครัฐในขณะนั้นก็กดลงมาเหลือ หน่วยละ 3 บาท 99 สตางค์ หากปรับขึ้นเป็น 4 บาท 68 สตางค์ สะท้อนชัด ๆ คือ ราคาสินค้าขยับ อัตราเงินเฟ้อเพิ่ม ภาคการผลิตเพื่อส่งออกได้รับผลกระทบ ยิ่งช่วงต้นปีออร์เดอร์เข้า แน่นอนเมื่อราคาสินค้าเราแพง จะกระทบขีดความสามารถทางการแข่งขัน รวมทั้งภาคท่องเที่ยวเองก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะเมื่อค่าไฟฟ้าแพง ค่าสินค้าและบริการก็จะเพิ่มขึ้น

ภาคเอกชนมองว่า การที่ กกพ. ออกมาประกาศเรตค่าไฟฟ้า จากนั้น รัฐบาลประกาศอุดหนุน หรือ ตรึงค่าไฟฟ้า ตรงนี้อาจกระทบการลงทุนในตลาดหุ้น จะให้ดี รัฐควรประกาศมาตรการตรึงค่าไฟฟ้าก่อน กกพ. และเอกชนเขาก็ทวงถาม ข้อแนะนำที่เสนอให้รัฐบาลไปตั้งแต่เดือนที่แล้วดูหรือยัง ทั้งการออกพันธบัตรรัฐบาล เพื่อนำมาชำระหนี้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งขณะนี้ผู้ใช้ไฟฟ้าค้างหนี้อยู่ และค้างชำระมานานตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2564 ถึงวันนี้ รวมยอดกว่า 95,771 ล้านบาท รวมทั้งแนวทางการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ

ด้านนักวิชาการ สภาองค์กรของผู้บริโภค แนะการแก้ปัญหาค่าไฟฟ้าแบบตรงจุด รัฐบาลต้องเปลี่ยนการใช้ก๊าซธรรมชาติที่ขุดได้ในอ่าวไทยมาใช้ในภาคการผลิตก่อน และควรเจรจาเปลี่ยนสัญญาการผลิตไฟฟ้า ที่ตอนนี้รัฐบาลต้องเสียค่า "ความพร้อมจ่าย" ในการผลิตไฟฟ้าให้กับโรงไฟฟ้าทั้งที่ไม่ได้มีการผลิต

ประสาท มีแต้ม กก. ผชช.ด้านบริการสาธารณะ พลังงานฯ สภาองค์กรของผู้บริโภค 
ผู้ใช้ไฟฟ้าต้องรอลุ้นกันอีกเรื่องว่าสุดท้ายแล้วรัฐบาลจะประกาศตรึงค่าไฟฟ้าไว้เท่าเดิม หรือ จะตัดใจขึ้นค่าไฟฟ้า แน่นอนว่า ผลกระทบมีทั้ง 2 ด้าน ตรึงค่าไฟฟ้า ก็ต้องบริหารหนี้ที่มีอยู่ให้ดี และหากขึ้นค่าไฟฟ้าก็อาจจะกระทบปากท้องประชาชน