สุดช้ำ เจ้าของบริษัทชิปปิงยืมเงินนอกระบบ จาก 3 หมื่นบาท หนี้งอกเป็น 3 ล้านบาท ใน 8 เดือน

View icon 2.3K
วันที่ 9 ธ.ค. 2566 | 05.22 น.
สนามข่าวเสาร์-อาทิตย์
แชร์
สนามข่าวเสาร์-อาทิตย์ - ชายคนหนึ่งอายุ 65 ปี เจ้าของบริษัทชิปปิงแห่งหนึ่ง ในจังหวัดชลบุรี ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ เพราะถูกเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบตามล่า จากเดิมกู้ยืมเงินแค่ 30,000 บาท แต่ไป ๆ มา ๆ ถูกบังคับให้กู้ยืมเจ้าหนี้รายอื่นเอาเงินมาใช้หนี้ จนหนี้บานปลายเป็นเงินกว่า 3 ล้านบาท ทนต่อไปไม่ไหว ตัดสินใจร้องขอความช่วยเหลือ

ชายคนนี้เล่าให้ทีมข่าวและเพจสายไหมต้องรอดฟังว่า จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นเดือนสิงหาคม 2565 ตอนนั้นได้กู้ยืมเงินกับเจ้าหนี้นอกระบบมา 30,000 บาท มีการคิดอัตราดอกเบี้ยวันละ 600 บาท เวลาผ่านไประยะหนึ่ง จ่ายหนี้ไม่ไหว เจ้าหนี้ก็แนะนำเจ้าหนี้รายใหม่ให้ไปกู้ยืมเงินมาโปะดอกเบี้ยบางส่วน ทีนี้ปัญหาก็เริ่มกลายเป็นดินพอกหางหมู หาเงินจ่ายเจ้าหนี้รายใหม่ไม่ไหวอีก ก็ไปยืมเงินเจ้าหนี้อีกรายมาจ่ายเงิน วนไปแบบนี้เรื่อย ๆ มารู้ตัวอีกทีมีเจ้าหนี้รวมกันแล้ว 37 ราย พอหาเงินจ่ายไม่ได้ เจ้าหนี้ก็เริ่มโทรมาขู่ฆ่า ยกพวกมาปิดล้อมบริษัท เฝ้าหน้าประตู หยอดกาวใส่รูกุญแจไม่ให้เข้า บอกว่าไม่กลัวตำรวจ ไม่กลัวที่จะติดคุก จะบุกไปทำร้ายตนเองถึงที่โรงพักด้วย

ซึ่งก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เจ้าหนี้บุกเข้ามาในบริษัท ยกเอาคอมพิวเตอร์ไปทั้งหมด และยังทำท่าทางคล้ายจะชักปืนมายิง ทำให้ตนเองและลูกน้องในบริษัทหวาดกลัวมาก ต้องยอมกู้เงินเพิ่มกับเจ้าหนี้รายอื่นมาโปะดอกเบี้ยให้รายเก่า คิดไปคิดมาแล้ว เชื่อว่าทั้งหมดน่าจะเป็นเครือข่ายเดียวกัน ยกตัวอย่าง เจ้าหนี้รายใหญ่คนหนึ่งในจังหวัดชลบุรี คนนี้กู้ยืมเงินมา 40,000 บาท ตอนนี้ดอกเบี้ยทบต้นทบดอก กลายเป็นเงินหลักแสนบาท โดนบังคับให้ไปผ่อนรถจักรยานยนต์ป้ายแดง 2 คัน มูลค่าเกือบ 300,000 บาท ให้เจ้าหนี้นำไปขายต่างประเทศแบบผิดกฎหมาย แทนการส่งดอกเบี้ย เพิ่มภาระให้ต้องผ่อนจ่ายรถจักรยานยนต์ 2 คันนี้ไปอีก

ที่ผ่านมา เคยโทรศัพท์แจ้งตำรวจ สภ.หนองแขม ตำรวจก็แนะนำได้เพียงให้ย้ายที่อยู่ออกนอกพื้นที่ไปก่อน เพราะเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย ก็ทำให้เชื่อว่ากลุ่มเจ้าหนี้น่าจะมีคนหนุนหลังอยู่ ซึ่งหากนับดูดี ๆ แล้ว ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2565 ถึง เมษายน 2566 ตนได้จ่ายเงิน "ดอกเบี้ย" อย่างเดียว ให้กับเจ้าหนี้ไปแล้วกว่า 3 ล้านบาท เคยจ่ายไปมากที่สุด 24,000 บาท ต่อวัน ที่ผ่านมาก็พยายามหาเงินปิดหนี้ไปเรื่อย ๆ ซึ่งก็ทำสำเร็จไปแค่ 9 ราย เท่านั้น จนไม่สามารถจ่ายเงินให้ลูกน้องได้ ทุกวันนี้ต้องทำงานเพียงคนเดียว หนีมาเร่ร่อนในกรุงเทพฯ เพราะญาติก็ไม่รู้จะช่วยเหลืออย่างไร ต้องแกล้งเป็นผู้ป่วยเพื่อเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล อาศัยเป็นที่นอน พอความแตกโรงพยาบาลก็ไม่ให้อยู่ ต้องไปขอข้าววัดกิน และนอนตามป้ายรถประจำทาง จนสุดท้ายเคยจะคิดสั้นฆ่าตัวตาย แต่ตอนนั้นมีพลเมืองดีปั่นจักรยานผ่านมาเตือนสติ จึงเปลี่ยนใจ ก่อนจะร้องกับเพจสายไหมต้องรอด

นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด พาชายคนดังกล่าวไปพูดคุยกับตำรวจในท้องที่ โดยทางด้าน พันตำรวจเอก ชาตรี สุขศิริ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี จะมีการนัดเจ้าหนี้เข้ามาเจรจาไกล่เกลี่ยกับผู้เสียหาย และยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย

จากนั้นคุณลุงผู้เสียหายก็ได้พาสื่อมวลชน พร้อมเจ้าหน้าที่ไปยังบริษัทของตนเอง ซึ่งพบว่าประตูถูกกุญแจล็อกจากภายนอก และยังพบร่องรอยการถูกขโมยคอมเพรสเซอร์แอร์ไปอีกด้วย ซึ่งตำรวจก็ได้เก็บหลักฐานเพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป