สรุปผลคุมประพฤติ 7 วันอันตราย ภาพรวมคดีลดลง

View icon 71
วันที่ 6 ม.ค. 2567 | 04.45 น.
สนามข่าวเสาร์-อาทิตย์
แชร์
สนามข่าวเสาร์-อาทิตย์ - แม้ว่า 7 วันอันตราย ช่วงเทศกาลปีใหม่ จะเริ่มต้นไม่ค่อยสวย มีคดีเข้าสู่กระบวนการคุมประพฤติ โดยเฉพาะความผิดฐานเมาแล้วขับ สูงกว่าปี 2566 ถึง 58% แต่สุดท้ายแล้วพอครบ 7 วัน มาสรุปผลกันอีกที กลับพบว่าภาพรวมการดำเนินคดี น้อยลงกว่าเมื่อปีที่แล้วทุกด้าน

ที่ต้องบอกแบบนี้ เพราะวันแรกที่มีการรายงานผลคดีที่เข้าสู่ศาล และศาลมีคำสั่งคุมประพฤติ ในวันแรกของ 7 วันอันตราย วันที่ 29 ธันวาคม ที่ผ่านมา มีคดีทั้งสิ้น 542 คดี ในจำนวนนี้ 515 คดี หรือประมาณ 95% เป็นคดีขับรถขณะเมาสุรา ซึ่งเมื่อเทียบกับคดีที่มีฐานความผิดเดียวกันในปี 2566 พบว่ามีเพียง 214 คดี ทำให้ตัวเลขสถิติเริ่มต้นไม่สวย เพราะเพิ่มขึ้นถึง 301 คดี หรือสูงขึ้นกว่า 58%

หลังจากนั้น พอผ่านมาเรื่อย ๆ จนครบ 7 วัน มาสรุปภาพรวมสถิติคดีกันอีกที พบว่าปีนี้มีคดีที่ศาลสั่งคุมประพฤติ รวม 8,102 คดี เป็นคดีขับรถขณะเมาสุรามากที่สุด 7,864 คดี หรือกว่า 97% รองลงมาเป็นคดีขับเสพ 233 คดี และคดีขับรถโดยประมาท 5 คดี

ซึ่งเมื่อนำสถิติทั้งหมดมาเปรียบเทียบกับสถิติคดีในปี 2566 ในช่วงเวลาเดียวกัน กลับพบว่า มีคดีที่ศาลสั่งคุมประพฤติลดลงในทุกด้าน เริ่มตั้งแต่คดีขับรถขณะเมาสุรา โดยในปี 2566 มีคดีนี้เข้าสู่ศาลทั้งหมด 8,567 คดี ขณะที่ปีนี้ 7,864 คดี ลดลงไปเล็กน้อย 8.2%

รองลงมาเป็นความผิดฐาน ขับเสพ หรือ ขับรถขณะที่คนขับมีสารเสพติดในร่างกาย พบว่าปี 2566 มีคดีนี้เข้าสู่ศาลทั้งหมด 335 คดี ส่วนปีนี้มีคดีเข้าสู่ศาล 233 คดี ลดลงไป 30.44%

และอันดับสุดท้าย ความผิดฐานขับรถโดยประมาท ไม่รวมกับกรณีการขับรถซิ่ง พบว่าปี 2566 มีคดีนี้เข้าสู่ศาลทั้งหมด 21 คดี ส่วนปีนี้มีคดีเข้าสู่ศาล 5 คดี ลดลงไปถึง 76.19%

นางธารินี แสงสว่าง รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ ในฐานะโฆษกกรมคุมประพฤติ แถลงสรุปผลภาพรวมสถิติคุมประพฤติในช่วง 7 วันอันตราย พบว่า ภาพรวมเมื่อเทียบกับปี 2566 มีตัวเลขคดีลดลง 821 คดี ลดลงประมาณ 9.2% โดย 3 จังหวัดที่มีคดีขับรถขณะเมาสุรามาที่สุด กรุงเทพฯ ครองแชมป์ 469 คดี รองลงมาคือจังหวัดนครพนม 351 คดี และหนองคาย 328 คดี ซึ่งมาตรการที่จะใช้คุมประพฤติกับผู้กระทำผิดในความผิดนี้ ทุกคนจะต้องผ่านการทำแบบประเมินการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หากพบว่ามีความเสี่ยงสูงในการติดสุรา จะส่งเข้ารับการบำบัดรักษา หรือใครที่มีความผิดซ้ำ หรือมีประวัติกระทำผิดซ้ำ ก็จะต้องเข้ารับการแก้ไขฟื้นฟูแบบเข้มข้น และต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการคุมความประพฤติ ทั้งการรายงานตัว และการทำงานบริการสังคม เช่น การดูแลเหยื่ออุบัติเหตุในโรงพยาบาล เพื่อให้ตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดจากการเมาแล้วขับ จะได้เกิดจิตสำนึกในการขับขี่อย่างปลอดภัยต่อไป