ญาติต่างโศกเศร้าและติดใจ สาวปวดท้องคล้ายจะคลอด โทรให้ รถ รพ.มารับ ไปถึงกลับเสียชีวิตทั้งแม่และลูกในครรภ์
วันนี้ (4 ก.พ.67) ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่ศาลาจัดงานสวดอภิธรรมศพ ภายในวัดเขาใบไม้ ต.ตาคลี อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ หลังมีรายงานว่า ญาติและครอบครัวของนางสาวรุ้งดาว อายุ 36 ปี ต่างอยู่ในอาการเศร้าโศกเสียใจ กับการจากไปของนางสาวรุ้งดาว และลูกในครรภ์ ซึ่งได้เสียชีวิตจากการไปรอทำคลอดอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ใน ต.ตาคลี
จากการสอบถามแม่ของนางสาวรุ้งดาว เปิดเผยว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงกลางดึกของคืนวันที่ 30 มกราคม ที่ผ่านมา โดยตอนนั้นนางสาวรุ้งดาว เริ่มปวดท้อง และมีอาการข้างเคียงจากการตั้งครรภ์ จึงได้แจ้งให้รถโรงพยาบาลมารับ เพื่อนำพาไปตรวจอาการยังโรงพยาบาล โดยแพทย์ได้ให้บุตรสาวนอนพักอยู่ในห้องรวมผู้ป่วยภายในโรงพยาบาล เพื่อเตรียมทำคลอด แต่เนื่องจากขณะนั้น ตนรวมถึงญาติพี่น้องคนอื่นๆ ต่างติดภาระจากหน้าที่การทำงานอยู่ต่างจังหวัด เลยทำให้ไม่มีใครไปช่วยอยู่ดูเฝ้าตลอดเวลา กระทั่งเวลาผ่านมาถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ จู่ๆ ก็มีโทรศัพท์ของบุตรสาวโทรเข้ามาหาตน แต่เสียงปลายสายกลับเป็นเสียงของพยาบาล พูดกับตนด้วยท่าทีตกใจว่า ให้รีบมาดูลูกสาวด่วน เพราะคนไข้กำลังอยู่ในอาการวิกฤตหนัก
“เมื่อวันที่ 31 มกราคม ฉันได้ลาหยุดงานจาก จ.อยุธยา เพื่อเดินทางมาเยี่ยมลูกสาว พร้อมกับน้ำของกินของใช้มาให้ ซึ่งก็ยังเห็นเขายิ้มแย้ม ดูแข็งแรงเป็นปกติอยู่เลย อีกทั้ง เขายังคุยแบบอารมณ์ดีกับฉันด้วย โดยเขาบอกว่า เขาดีใจมากที่รู้ว่าเขาจะได้ลูกชาย ฉันจึงโผเข้าไปกอดหอมลูกด้วยความดีใจ พร้อมกับให้กำลังใจเขา โดยมีคำพูดสุดท้าย ฉันได้ถามเขาว่า ต้องอยู่คนเดียวเหงาหรือไม่ เขาก็ยังบอกว่าไม่เป็นไร อยู่ได้ มีกำลังใจดีอยู่ ฉันจึงได้เดินทางกลับต่างจังหวัด เพื่อเตรียมไปทำงาน โดยที่ไม่คาดคิดว่า จู่ๆ ลูกสาวจะช็อกก่อนจากไปแบบไม่มีวันกลับ โดยตอนนั้นกว่าฉันจะเดินทางกลับมาหาลูก ก็พบว่าลูกได้ไปเสียชีวิตอยู่ที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ อ.เมืองนครสวรรค์แล้ว ซึ่งทราบว่า หลังจากที่ลูกมีอาการวิกฤตทางโรงพยาบาลที่แรกได้รีบนำตัวส่งไปยังอีกโรงพยาบาลทันที”
ด้านน้องชายของนางสาวรุ้งดาว กล่าวว่า หลังพี่สาวเสียชีวิต ก็ได้มีการไปสอบถามกับทางโรงพยาบาล เขาได้ให้คำตอบประมาณว่า ตอนนั้นพี่สาวได้เกิดอาการช็อกอยู่ที่เตียงคนไข้ จนต้องรีบนำตัวเข้าห้องไอซียูเป็นการด่วน แต่ในระหว่าการช่วยชีวิต พี่สาวได้เกิดอาการทรุดหนักกว่าเดิมแล้วชีพจรก็ขาดไป ซึ่งถึงแม้จะช่วยกันปั๊มหัวใจอยู่นานกว่า 40 นาที จนชีพจรของพี่สาวกลับคืนมาแล้ว แต่เมื่อนำตัวย้ายไปส่งยังโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ ชีพจรของพี่สาวก็ขาดไปอีกรอบ
“ตอนที่พี่สาวผมอยู่โรงพยาบาลใหญ่ในเมืองนครสวรรค์ มีน้าสาวของผม ที่ตามมาทัน และอยู่ในเหตุการณ์ โดยเขาได้เล่าว่า หมอของที่นั่นก็พยายามยื้อชีวิตพี่สาวผมอยู่นาน แต่อาการของพี่สาวไม่มีทีท่าที่จะดีขึ้นเลย จนเขาต้องตัดสินใจผ่าท้องของพี่สาวผม เพื่อช่วยชีวิตเด็กในครรภ์ออกมาก่อน แต่สุดท้ายก็ไม่ทัน เพราะเด็กในครรภ์ได้เสียชีวิตไปก่อนที่พี่สาวจะสิ้นลมหายใจตาม จากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลต้นเรื่องเดินเข้ามาถามน้าสาวว่า พี่สาวของผม เขาเคยแพ้ยาอะไรหรือไม่ เพราะในระหว่างที่พี่สาวช็อก ได้มีการฉีดยากันชักให้ก่อนจะเกิดอาการทรุดหนักกว่าเดิม จึงทำให้ผมสงสัยในประเด็นนี้เป็นอย่างมาก”
นายอภินันท์ กล่าวต่อว่า นอกจากจะสงสัยเรื่องการฉีดยาแล้ว ยังมีเรื่องสงสัยตามมาอีก เพราะภายหลังการเสียชีวิต ทางโรงพยาบาลตาคลีได้ระบุผลการตรวจสอบในเบื้องต้น โดยกล่าวกับตนด้วยวาจาว่า มีการพบสารเสพติดที่ปัสสวะของพี่สาวตน ซึ่งตนก็ตกใจ และคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เนื่องจากที่ผ่านมา พี่สาวไม่เคยมีประวัติกับเรื่องพวกนี้ จึงได้ทักท้วงกลับไป และขณะนี้ กำลังอยู่ในระหว่างการชันสูตรตรวจสอบการเสียชีวิตอย่างละเอียด ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาถึง 2 สัปดาห์เลยทีเดียว แต่ในเบื้องต้น ทางแพทย์ได้มีการระบุในใบรับรองการเสียชีวิตว่า เกิดจากภาวะปอดขาดเลือดอย่างเฉียบพลัน และตายอย่างผิดธรรมชาติ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงประวัติของพี่สาว นายอภินันท์ บอกว่า พี่สาวมีลูกสาววัย 8 ขวบ และ 11 ขวบอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งเป็นเด็กพิการทางร่างกายทั้งคู่ และถูกส่งตัวมาให้คุณตาและน้าสาวช่วยเลี้ยงดู ที่ อ.ตาคลี ส่วนพี่สาวไปทำงานค้าขายอยู่กับสามีที่กรุงเทพ จนกระทั่ง ท้องลูกคนที่ 3 และใกล้คลอด จึงได้ย้ายกลับมาอยู่กับลูกสาวเพื่อรอคลอด ซึ่งตอนที่เขาอยู่ที่นี่ประมาณ 3 เดือนพี่สาวก็หาของมาเร่ขาย เพื่อหารายได้นำไปเลี้ยงลูกที่พิการ โดยไม่มีใครเห็นพฤติกรรมหรืออาการอะไรเลย ที่เขาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับงานศพของนางสาวรุ้งดาวและลูก จะมีการพิธีสวดพระอภิธรรมในวันนี้เป็นคืนสุดท้าย ก่อนจะเก็บร่างเอาไว้ โดยทางครอบครัวของนางสาวรุ้งดาว ยืนยันว่าจะยังไม่มีการฌาปนกิจศพ จนกว่าผลพิสูจน์การเสียชีวิตอย่างละเอียดจะออกมา
ส่วนทางโรงพยาบาล ทราบว่า จะมีการแถลงชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในวันพรุ่งนี้ และในเบื้องต้น ทางผู้บริหารของโรงพยาบาล ได้มีการเดินทางไปร่วมงานศพตั้งแต่คืนวันแรกแล้ว พร้อมกับมอบเงินเยียวยาช่วยเหลือในเบื้องต้น เป็นจำนวนเงิน 3 พันบาท อีกทั้งรับปากว่า จะมีการเดินเรื่องในสิทธิบัตรทองของผู้เสียชีวิต เพื่อช่วยเหลือในเรื่องค่าเยียวยาให้อีกทางด้วย