ข่าวเย็นประเด็นร้อน - แม่ออกมาร้องขอความช่วยเหลือจากรายการ ถกไม่เถียง ว่า ลูกชายถูกตำรวจจับในข้อหาครอบครองยาเสพติด ระหว่างถูกตำรวจคุมตัวอยู่ในโรงพักนั้น ได้มีตำรวจยศร้อยตำรวจเอก ยึดโทรศัพท์ของลูกชายไป จากนั้นก็เปิดเข้าไปในแอปพลิเคชันธนาคาร แล้วกดเงินไป 5,000 บาท พอแม่ถามว่าเงินลูกหายไปไหน ตำรวจบอกว่าไม่ได้เอาไป แต่เดี๋ยวจะเคลียร์ให้จะได้จบปัญหา ทางแม่วิ่งหาหลักฐานเพียงคนเดียวอยู่หลายเดือน จนพอที่จะฟ้องเอาผิดกับตำรวจที่เอาเงินไปได้
นางณัฐสุดา มีศิลป์ อายุ 54 ปี แม่ของผู้ต้องหาคดียาเสพติด เล่าให้ฟังว่า เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2566 เวลา 19.00 น. ลูกชายถูกตำรวจจับกุมข้อหาครอบครองยาบ้า จำนวน 30 เม็ด หลังจากที่โดนจับกุม ตำรวจได้มีการยึดโทรศัพท์มือถือของลูกตนไป และตำรวจได้พยายามขอรหัสผ่านโทรศัพท์มือถือ และแอปพลิเคชันธนาคาร
วันที่ 9 เมษายน 2566 ตำรวจได้นำลูกตนไปฝากขังต่อที่เรือนจำกลางลพบุรี ตอนนั้นตนติดต่อลูกไม่ได้เลย และไม่รู้ว่าลูกติดคุก จนมาวันที่ 20 เมษายน 2566 ตนมารู้ว่าลูกชายถูกตำรวจจับคดียาเสพติด จึงเดินทางไปเยี่ยมลูกที่เรือนจำกลางลพบุรี ลูกได้บอกว่าตำรวจยศร้อยตำรวจเอกได้ยึดทรัพย์สินเอาไว้ มีนาฬิกา 1 เรือน โทรศัพท์ 1 เครื่อง และบัตรประจำตัวประชาชน 1 ใบ และลูกยังบอกอีกว่าในแอปพลิเคชันธนาคารที่อยู่ในโทรศัพท์มีเงินอยู่ 5,000 บาท ลูกได้บอกรหัสผ่านกับตนมาด้วย ตนจึงเดินทางไป สภ.เมืองลพบุรี เพื่อขอทรัพย์สินดังกล่าว
จากนั้นตนได้ไปติดต่อรับทรัพย์สินจากห้องสืบ ทางตำรวจยศร้อยตำรวจเอกได้นำของทั้งหมดมาคืนให้ ตนจึงหยิบโทรศัพท์มาเปิดแอปพลิเคชันธนาคาร เพื่อจะดูว่ามียอดเงินที่ลูกบอกไว้หรือไม่ พอเปิดดูปรากฏว่าไม่มียอดเงินดังกล่าวแล้ว
ตำรวจยศร้อยตำรวจเอกได้ถามว่าตนดูอะไร ตนตอบไปว่า ดูเงิน ตำรวจจึงบอกว่า "ผมเคลียร์กับลูกแม่แล้ว ลูกแม่ให้เงินตำรวจไป" ตนจึงเดินทางไปสอบถามลูกชายที่เรือนจำ ลูกชายบอกว่า ไม่ได้มอบให้ตำรวจคนไหนทั้งนั้น แต่ตอนถูกจับมีตำรวจยศร้อยตำรวจเอกได้ขอรหัสเข้าโทรศัพท์ และรหัสแอปพลิเคชันธนาคารไป อ้างว่าจะนำไปตรวจสอบ
ตนจึงบอกลูกไปว่าจะไปเอาผิดกับตำรวจที่เอาเงินไป ลูกชายได้พูดกับตนว่า แม่จะไปทะเลาะกับตำรวจเหรอ เขามีเส้นมีสายนะ แม่ไม่กลัวอันตรายเหรอ ตนได้ยินแบบนี้แล้วจึงคิดได้ว่าต้องหาหลักฐานให้รัดกุมเสียก่อน ก่อนที่จะเข้าไปเอาผิดกับตำรวจ จากนั้นมาตนจึงสืบประวัติตำรวจยศร้อยตำรวจเอกคนนี้มาโดยตลอด มีชาวบ้านหลายคนให้ข้อมูลว่า ตำรวจรายนี้มีพฤติกรรมชอบรีดไถเงินผู้กระทำความผิด แต่ไม่มีใครกล้าเอาเรื่อง
พอตนรู้ชัดเจนแล้วว่าตำรวจคนไหนนำเงินไป ตนจึงติดต่อมายังรายการถกไม่เถียง เพื่อขอความช่วยเหลืออีกทางด้วย เพราะตนเห็นว่ารายการนี้ช่วยคนเดือดร้อนได้จริง จากนั้นตนเดินทางไปรวบรวมพยานหลักฐานที่ธนาคาร และหาสลิปการกดเงินออกจากตู้ ATM ในช่วงเวลาที่ลูกตนเองถูกจับกุม จนกระทั่งได้หลักฐานมาครบถ้วน พร้อมที่จะเอาผิดกับตำรวจที่กระทำความผิดได้แล้ว วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2567 ตนตัดสินใจเดินทางไปขอพบ สารวัตรสืบ สภ.เมืองลพบุรี ซึ่งเป็นหัวหน้างานของตำรวจที่เอาเงินไป เพื่อร้องเรียนว่าถูกตำรวจชุดสืบสวนยศร้อยตำรวจเอกนำเงินของลูกชายไป 5,000 บาท ทางสารวัตรสืบจึงเรียกตำรวจยศร้อยตำรวจเอกรายนั้นมาไกล่เกลี่ยกับตน ระหว่างการเจรจา ตำรวจยศร้อยตำรวจเอกได้พูดอย่างเดียวว่า เขาไม่ได้เอาไป แต่จะเคลียร์ให้เอง จะได้จบ ๆ กันไป เดี๋ยวจะกู้เงินมาให้ ของเวลา 3 วัน ตนจึงบอกไปว่า ถ้าคุณไม่ได้เอาเงินไปคุณจะมาเดือดร้อนทำไม คุณก็ไม่ต้องหาเงินมาคืนสิ ตนแค่อยากรู้ว่าใครเอาเงินออกจากบัญชีลูกตนไปเท่านั้น
จากนั้นตนได้แกล้งเดินคุยโทรศัพท์เดินออกจากห้องสืบสวนไป ตำรวจยศร้อยตำรวจเอกได้เดินตามมาถามว่าคุยกับใคร เหมือนพยายามจะเคลียร์ให้จบก่อน แต่ตนไม่อยากคุยแล้ว เพราะคุยไปเขาก็ไม่ยอมรับผิด ตนจึงพูดทิ้งท้ายไปว่า เรื่องนี้จะร้องเรียนไปถึงผู้กำกับแน่ แล้วได้เดินทางกลับมาที่บ้าน หลังจากตำรวจยศร้อยตำรวจเอกรายนี้ได้โทรศัพท์มาหาตนเองอยู่ตลอดเวลา โทรศัพท์มาหาวันละหลาย ๆ รอบ มาขอเจรจาให้จบเรื่อง แต่ตนให้โอกาสเขายอมรับแล้วเขากลับไม่ยอมรับผิด ตนจึงจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ไม่อยากให้เขาไปทำแบบนี้กับใครอีก
ล่าสุด เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา ทางแม่ของผู้เสียหายได้บอกมาว่า มีคนติดต่อมาเสนอเงินให้ 500,000 บาท เพื่อให้จบคดี ไม่ต้องมาออกรายการถกไม่เถียง แต่ทางแม่ปฏิเสธที่จะรับเงินก้อนนี้ไป แม่ยังคงยืนยันว่าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด เดี๋ยวเรามาดูกันว่าตำรวจที่นำเงินไปจะตอบคำถามนี้อย่างไร ติดตามต่อได้ที่รายการถกไม่เถียง Weekend วันเสาร์นี้ เวลา 17.30 น.