เมรุถล่มทับคนตาย ที่ ร้อยเอ็ด ชาวบ้าน เผย ปมเหตุที่ต้องสร้างใหม่ เพราะเมรุหันหน้าตรงกับประตูวัด ชาวบ้านมองว่าเหมือนเมรุอ้าปากกินคน ที่เดินเข้ามาวัด และในหมู่บ้านมีคนตายตลอด เชื่อทำผิดประเพณี อีกทั้ง ร่างผู้เสียชีวิตที่ถูกเมรุถล่มทับ ยังเคลื่อนผ่ากลางหมู่บ้าน เพื่อไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่บ้าน จนชาวบ้านผวา
จากกรณี เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 เกิดเหตุเมรุพังทับคนเสียชีวิต หน้าเมรุเผาศพ ภายในวัดสิริมงคล บ้านสว่าง ม.12 ต.สว่าง อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด ผู้เสียชีวิต คือนายสุพจน์ อายุ 59 ปี เป็นคนขับรถแบ็กโฮ ซึ่งเป็นคนในพื้นที่ โดยชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ พยายามงัดร่างออก แต่เอาออกไม่ได้ จึงประสานทีมกู้ภัยนำเครื่องตัดถ่างมาช่วยใช้เวลากว่าชั่วโมง จนมืดจึงสามารถนำร่างออกมา ใส่โลงก่อนจะนำกลับไปตั้งศพบำพ็ญกุศลที่บ้านของผู้ตายได้
ความคืบหน้าวันนี้ 15 กุมภาพันธ์ 2567 พระในวัดรวมทั้งเจ้าอาวาส แกนนำชุมชน ลงตรวจสอบข้อเท็จจริง เตรียมแผนที่จะแก้ปัญหาที่จะรื้อออก ทั้งหมดเพื่อเคลียร์พื้นที่ ซึ่งกะว่าต้องใช้เวลา โดยอาจจะมีการทำพิธีทางศาสนา ตามความเชื่อให้ชัดเจน ก่อนที่จะมีการเข้าไปรื้อถอนสิ่งที่พังลงมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของยอดมณฑป หน้าเมรุ ซึ่งหนักกว่า 1 ตัน ที่พังลงมาทับคนเสียชีวิต ก็จะมีการทำพิธีก่อนที่จะนำออก โดยจะต้องมีการประชุมเตรียมแผนการให้รัดกุม เพื่อให้เกิดความสบายใจของทุกคน ถึงจะมีการเคลียร์พื้นที่ เพื่อเตรียมแผนที่จะแก้ปัญหา และจะมีการทำพิธี เพื่อความสบายใจของทุกคน
รวมทั้งชาวบ้านที่เกรงว่าจะเป็นการเกิดเหตุการณ์รื้อเมรุที่ชาวบ้านคิดว่ากระบวนการในการทำพิธีไม่ครบถ้วนรอบด้านและรัดกุมพอ อาจเป็นต้นเหตุของการเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น โดยเชื่อว่าสาเหตุมาจาก คนรับจ้างรื้อ ที่รับค่าจ้าง 5 หมื่นบาท ทำผิดวัน-เวลา เพราะวันเกิดเหตุ เป็นเวลากลางคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นวันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 3 ซึ่งเป็นข้อห้ามทำการใดๆ และรวมทั้งผนวกกับความประมาท
มีเสียงเล่าของพระและชาวบ้าน ถึงมูลเหตุของการต้องย้ายเมรุ เก่าสูง 20 เมตร ที่สร้างปี 2526 ไปที่ใหม่ เนื่องจาก ชาวบ้านเห็นมาเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะมองจากประตูหน้าวัดมาแล้วเห็น หน้าเมรุเผาศพ ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดี เพราะเห็นว่าการสร้างเมรุ ที่หันไปตรงกับประตูเข้าวัด มองเข้ามาก็เห็นเมรุ ซึ่งก็เหมือนกับ เมรุอ้าปากกินคนซึ่งคนอีสานถือว่าไม่ดี
ที่ต่อมาก็มีมติ สร้างหอกลองเพลขึ้นมาบัง เมรุเผาศพไว้ แต่ก็ยังทำให้ชาวบ้านมีความเชื่อว่า น่าจะเป็นเหตุอาเพศ เนื่องจากมีคนตายอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา แบบศพต่อศพ บางวันมีศพมารอถึง 5 ศพ และมี ครั้งหนึ่งต้องเอาศพมารอคิวเผาถึง 9 ศพในวันเดียว จึงทำให้เกิดความเชื่อว่า เป็นเหตุอาเพศ หลังจากนั้น ที่ประชุมจึงมีมติสร้างเมรุหลังใหม่ สูงจากฐานถึงยอด 35 เมตรขึ้นมา ทดแทน ข้างเมรุเดิม ไม่ให้ตรงกับประตูวัด แล้วจึงทำการรื้อหลังเก่าออก จนเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น
ในขณะที่มีชาวบ้าน คนหนึ่งกล่าวว่า เหตุที่เกิดขึ้นไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่งว่าน่าจะเป็นเหตุ ทำให้เกิดอาเพศขึ้นภายในหมู่บ้านได้อีก ประเด็นที่ห่วงพะวง คือ การนำศพ ของผู้เสียชีวิตจากในวัดเดินทาง หรือเคลื่อนศพ ผ่าหมู่บ้านเข้าไปยังบ้านของผู้ตาย ซึ่งชาวบ้านไม่เห็นด้วย เนื่องจากโดยประเพณีแล้ว หากคนที่ตาย เสียชีวิตผิดธรรมชาติในลักษณะแบบนี้ เขาจะ ไม่เอากลับเข้าไปบ้าน จะต้องตั้งศพบำเพ็ญกุศลไว้ที่วัด แต่เหตุนี้เกิดขึ้นภายในวัด กลับมีการนำศพผ่านกลางหมู่บ้านไปตั้งที่บ้าน ซึ่งชาวบ้านหลายคนคัดค้าน ไม่เห็นด้วย แต่ญาติไม่ เชื่อไม่ฟังมีการนำ ศพกลับไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่บ้าน ฝืนความรู้สึกของชาวบ้านทุกคน
และในขณะเดียวกัน ในการพูดคุยกันที่วัด ในวันนี้ ได้มีการตกลงถึงมติ ของการที่จะนำศพผู้เสียชีวิตมาฌาปนกิจในวันศุกร์นี้ ภายในวัด มีมติไม่ให้ใช้เมรุหลังใหม่เป็นที่เผาศพ เพราะถือว่าเป็นเหตุการณ์ตายที่ผิดปกติ โดยกำหนดว่า ถ้าจะมีการเผาศพในวัด ก็จะให้ทำเป็นกองฟอน แบบการฌาปนกิจศพโบราณ มาใช้ชั่วคราว เพื่อความสบายใจ ตามความเห็นชอบของทุกฝ่ายที่คิดตรงกัน