สงสารจับใจ “ปวีณา” รุดช่วย อดีตพริตตี ป่วยผอมโซไร้เงิน ถึงขั้นต้องกินอาหารขึ้นราในตู้เย็น

สงสารจับใจ “ปวีณา” รุดช่วย อดีตพริตตี ป่วยผอมโซไร้เงิน ถึงขั้นต้องกินอาหารขึ้นราในตู้เย็น

View icon 371
วันที่ 29 ก.พ. 2567 | 11.22 น.
ข่าวในประเทศ
แชร์
พริตตีสาวสวยร้อง “ปวีณา” ขอความช่วยเหลือส่งไปรักษาหลังป่วยไม่ทราบสาเหตุ ผอมโซเหลือแต่ กระดูก ขาซ้ายมีอาการชาและลีบเดินไม่ได้ ไม่มีเงิน ต้องกินอาหารที่ขึ้นราอยู่ในตู้เย็น ทนทุกข์ทรมานอยู่คน เดียวในบ้านที่รกสกปรก ไม่มีคนดูแลเพราะพ่อแม่และปู่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งไปหมดแล้ว "ปวีณา" รุดไป เยี่ยมที่บ้านพักรับตัวส่งโรงพยาบาลยันฮีเข้าแอดมิด เพื่อตรวจร่างกายทำการรักษาทันที

วันที่ 29 ก.พ.67 เวลา 10.30 น. นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ลงพื้นที่ย่าน บางขุนเทียน กรุงเทพฯ ไปเยี่ยมน.ส.อัง (นามสมมุติ) อายุ 31 ปี อดีตพริตตี ที่ป่วยไม่ทราบสาเหตุ จากที่เคยน้ำหนัก 45 กก. ในระยะเวลาไม่นานน้ำหนักลดลงไปถึง 10 กก. ตอนนี้น้ำหนักเหลือเพียง 35 กก. ส่วนสูง ประมาณ 165 ชม. ไม่มีเรี่ยวแรง เบื่ออาหาร ขาซ้ายมีอาการชาและลีบเดินไม่ได้ ต้องใช้ไม้ค้ำสามขาช่วยพยุงเวลาเดิน กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ต้องใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ตลอดเวลา

โดย น.ส.อัง อาศัยอยู่เพียงลำพัง เพราะพ่อแม่และปู่ เสียชีวิตไปแล้วด้วยโรงมะเร็ง ทุกวันนี้ น.ส.อัง ต้องทุกข์ทรมานไม่มีเงินที่จะซื้ออาหารกิน บางครั้งต้องกิน อาหารที่เหลือเก็บไว้นานมากจนขึ้นราอยู่ในตู้เย็น และไม่มีคนดูแล อยู่ในบ้านที่สภาพข้าวของรกกระจัด กระจายเต็มพื้นที่ นานๆ ครั้งจะมีเพื่อนซื้อของกินของใช้มาให้บ้าง

ซึ่งระหว่างที่นางปวีณา พูดคุยสอบถามอาการและความเป็นอยู่ น.ส.อัง มีอาการเหนื่อยหอบอย่างเห็นได้ชัด นางปวีณาจึงได้ช่วยเหลือพา น.ส.อัง ส่งไปทำการตรวจร่างกายหาสาเหตุของอาการป่วยและทำการรักษาที่ โรงพยาบาลยันฮี โดยได้ประสาน นพ.สุพจน์ สัมฤทธิวณิชชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารโรงพยาบาลยันฮี ยินดีจะให้การช่วยเหลือ น.ส.อัง โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

นางปวีณา กล่าวว่า ก่อนหน้านี้น.ส.อัง ได้ติดต่อขอความช่วยเหลือมายังมูลนิธิปวีณาฯ แจ้งถึงอาการป่วย ไม่มีคนดูแล ไม่มีจะกิน ต้องเก็บอาหารเก่าที่เก็บไว้จนขึ้นราในตู้เย็นมากิน อยากให้ช่วยเหลือเรื่องอาการป่วยที่ ไม่ทราบสาเหตุและรักษาให้หายเพื่อจะได้กลับไปทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเอง แต่น.ส.อัง ยังให้รายละเอียด

ไม่ได้มากเพราะเวลาพูดนานๆ จะมีอาการเหนื่อยหอบ จึงได้ส่งนายเอกภาพ หงสกุล ผู้อำนวยการมูลนิธิป วีณาฯ ลงพื้นที่ไปเยี่ยมน.ส.อัง ที่บ้าน

โดยน.ส.อัง เล่าว่า อยู่ตัวคนเดียวมาประมาณ 2 ปีแล้ว เพราะพ่อแม่และปู่ที่เคยอยู่ด้วยกันเสียชีวิตไปหมดแล้ว เนื่องจากป่วยเป็นโรคมะเร็งทั้ง 3 คน โดยปู่เป็นมะเร็งที่สมอง พ่อเป็นมะเร็งที่ตับ และแม่เป็นมะเร็งที่ปากมดลูก ทำให้ตนอยู่คนเดียวมา 2 ปีแล้ว ตนเรียนจบระดับปริญญาตรี สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ หลังจากเรียนจบก็ไปทำงานเป็นพริตตีสถานบันเทิงย่านทองหล่อ เพราะรายได้ดีเดือนละ 5-6 หมื่นบาท เอาไปรักษาพ่อแม่ และปู่ แต่ทั้ง 3 คนก็มาจากไป ต่อมาช่วงโควิด19 สถานบันเทิงปิดทำให้ไม่มีรายได้ เงินที่มีเก็บไว้ก็ร่อยหรอ พอสถานบันเทิงได้รับอนุญาตให้เปิดบริการได้ตนกลับไปทำงานแต่รายได้ก็น้อยลง และประกอบกับตนอายุ มากขึ้นงานก็น้อยลง

จากนั้นช่วงปี 66 ตนเกิดปัญหาเจ็บป่วยเริ่มจากปวดท้องหนักมาก ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลบอกว่าเป็นนิ้วในถุงน้ำดีและได้ทำการผ่าตัดรักษา หลังอาการดีขึ้นแล้ว ไม่นานตนก็มีปัญหาน้ำหนักลดลงวูบ ไม่มีเรี่ยวแรง ไปพบแพทย์แต่ก็ยังไม่ทราบสาเหตุของอาการป่วย ทุกวันนี้ได้แต่กินยาที่แพทย์ให้มา เป็นยารักษาอาการกลั้น ปัสสาวะไม่อยู่ กับยาฆ่าเชื้อแก้อักเสบ อยากให้มูลนิธิปวีณาฯ ช่วยเหลือในการรักษาเพื่อจะได้กลับไปมีชีวิต ที่ปกติเหมือนคนอื่นๆ และจะได้หางานทำเพื่อเลี้ยงตัวเอง

ต่อมาเวลา 13.00 น. นางปวีณา ได้พา น.ส.อัง มาส่งถึงโรงพยาบาลยันฮี พบกับ นพ.สุพจน์ สัมฤทธิวณิชชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารโรงพยาบาลยันฮี ทพญ.สุชาวดี สัมฤทธิวณิชชา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด/ กรรมการบริษัท และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากนั้นได้ทำการตรวจร่างกายน.ส.อัง เบื้องต้นพบว่าน่าเป็นห่วงมาก แพทย์จึงได้รับตัวน.ส.อัง เข้าแอดมินที่โรงพยาบาลทันที เพื่อจะต้องตรวจร่างกายอย่างละเอียดหาสาเหตุการ เจ็บป่วยและทำการรักษาต่อไป ซึ่งมูลนิธิปวีณาฯ จะติดตามด้านการรักษาและการช่วยเหลือร่วมกับโรงพยาบาลยันฮี เพื่อให้ น.ส.อัง ได้กลับมาเดินได้และใช้ชีวิตได้อย่างปกติต่อไป

ขณะนายพิริยะ คล้อยคล้าย อายุ 49 เล่าว่า ตนเป็นพี่ที่รู้จักกับพริตตีสาวสมัยน้องเคยเป็น PR อยู่ที่ร้านอาหารย่านราชพฤกษ์ จู่ๆ ช่วงปลายปีที่แล้ว 2566 น้องได้โทรศัพท์และส่งข้อความทางแชทไลน์มาขอความช่วยเหลือ เรื่องค่าอาหาร และขอยืมเงินและช่วงหลังติดต่อมาบ่อยครั้ง ตนจึงสงสัยว่าน้องน่าจะมีปัญหาอะไรบางอย่าง จึงเดินทางมาหาที่บ้าน ก็พบว่าน้องมีอาการผอมโซ เมื่อสอบถาม น้องบอกว่าเคยผ่าตัดถุงน้ำดี แต่โรงพยาบาล ยังไม่ได้แจ้งผลว่าเป็นโรคอะไร น้ำหนักน้องก็ลดลงเรื่อยๆ ป่วยมาหนึ่งปีกว่าแล้ว แต่ยังสามารถพูดคุยสื่อสารได้ปกติ อยากให้มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ช่วยเหลือเรื่องการรักษา

ข่าวที่เกี่ยวข้อง