รวบชาวจีน ลักทรัพย์ชาวอินเดีย มูลค่ากว่าล้านบาท ขณะอยู่บนเครื่องบิน ทันทีที่เครื่องลงรีบเผ่นหนีอย่างรวดเร็ว สุดท้าย โดนรวบคาโรงแรมย่านรัชดา หลังก่อเหตุได้เพียง 5 ชั่วโมง
เมื่อเวลา 13:30 น.วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ.2567 ณ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว แถลงผลการปฏิบัติงาน บุกจับกุมตัวคนร้ายชาวจีน ฉกทรัพย์ชาวอินเดีย ภายใน 5 ชั่วโมง โดยเมื่อเวลา 13:30 น.วันที่ 7 มีนาคม พ.ศ.2567 ณ กก.3 บก.ทท.1 (ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) นายฮาซาด นักท่องเที่ยวชาวอินเดีย สัญชาติอินเดีย เข้ามาแจ้งกับตำรวจท่องเที่ยว ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยแจ้งว่าตนเอง ได้ขึ้นเครื่องเดินทางมาจาก เมืองบอมเบย์ ประเทศอินเดีย มายังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อลงจากเครื่องก็ได้สำรวจกระเป๋าสัมภาระที่สะพายอยู่ พบว่า นาฬิกาโรเล็กซ์ จำนวน 1 เรือน ธนบัติไทยจำนวน 98,000 บาท และธนบัติสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ จำนวน 2,800 ดอลลาร์ ที่ใส่ไว้ในกระเป๋าสะพายได้หายไป จึงได้เข้ามาพบกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว เพื่อขอความช่วยเหลือ
หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว รับแจ้งเหตุจึงได้สืบสวนจนทราบว่า ก่อนนักท่องเที่ยวจะลงเครื่อง มีคนร้ายลักเอาทรัพย์สินไป ในขณะที่เก็บไว้บนช่องเก็บของ ของผู้โดยสารที่อยู่เหนือศีรษะบนเครื่องบิน และได้สังเกตุเห็นคนร้ายผู้ก่อเหตุ เดินมาเปิดที่ช่องเก็บของที่ผู้เสียหาย ที่ได้วางกระเป๋าที่เก็บทรัพย์สินไว้ โดยตรงกันกับการให้ข้อมูลของเจ้าหน้าที่สายการบิน และเมื่อคนร้ายลงจากเครื่องแล้วก็ได้หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่นักท่องเที่ยวจะรู้ตัว เมื่อตำรวจท่องเที่ยวได้ทราบถึงพฤติการณ์ และรายละเอียดทั้งหมด จึงได้เร่งออกสืบสวน
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวได้สืบสวนจนกระทั่งได้ความคืบหน้า ของข้อมูลคนร้ายที่ก่อเหตุและพบว่าผู้ก่อเหตุได้หลบหนีไปเข้าพักในโรงแรม ย่านรัชดา ต่อมา เวลา 18:30 น.ในวันเดียวกัน พ.ต.ต.เสกสันติ์ ฐิรเรืองรัตน์ สว.กก.3 บก.ทท.1 พร้อมด้วยชุดสืบสวน ทำการร่วมกันเข้าจับกุมตัว นายอี้ อายุ 48 ปี สัญชาติจีน โดยพบผู้ต้องหาเดินลงมาที่บริเวณล็อบบี้โรงแรม จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมขอตรวจค้น พบของกลางดังกล่าวซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าสะพายที่คนร้ายผู้ก่อเหตุสะพายอยู่ โดยมี
1.นาฬิกา ยี่ห้อ Rolex รุ่น Sea-Dweller ตัวเรือนสีเงิน หน้าปัดสีดำ จำนวน 1 เรือน
2.เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ จำนวน 2,800 ดอลลาร์สหรัฐ
จึงได้นำตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีโดยแจ้งข้อกล่าวหาว่า " ลักทรัพย์ในท่าอากาศยานหรือในยวดยานสาธารณะหรือรับของโจร " ก่อนที่จะนำทรัพย์สินดังกล่าว ส่งคืนให้นักท่องเที่ยวชาวอินเดียในขั้นต่อไป
ขณะที่ นาย กิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เปิดเผยกับสื่อมวลชนในตอนท้ายด้วยว่า สนามบินสุวรรณภูมิให้ความสำคัญในเรื่องมาตรการการรักษาความปลอดภัยทุกมิติภายในสนามบิน ไม่ว่าจะจัดเจ้าหน้าที่สายตรวจการท่าทั้งในและนอกเครื่องแบบคอยตรวจตราและอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารแล้ว สนามบินสุวรรณภูมิยังเพิ่มเทคโนโลยีต่างๆที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกล้องวงจรปิดให้ครอบคลุมสนามบิน ซึ่งปัจจุบันติดตั้งกล้องวงจรปิดไปแล้วกว่าแปดพันตัว ซึ่งกล้องวงจรปิดมีความสำคัญและจะเห็นได้ว่าเป้นหลักฐานสำคัญในคดีต่างๆที่เกิดขึ้นในสนามบินแม้แต่การติดตามทรัพย์สินของผู้โดยสารที่สูญหายหรือหลงลืม จึงอยากฝากเตือนผู้ที่คิดจะมาก่อเหตุในสนามบินโปรดจงรับรู้ว่าสนามบินสุวรรณภูมิหากคิดจะเข้ามาก่อเหตุไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด สุดท้ายไม่รอดการติดตามจับกุมตัว