ผู้การแต้ม ละอายภาพลักษณ์ตำรวจ มองคดี บิ๊กต่อ-บิ๊กโจ๊ก จบยาก

ผู้การแต้ม ละอายภาพลักษณ์ตำรวจ มองคดี บิ๊กต่อ-บิ๊กโจ๊ก จบยาก

View icon 237
วันที่ 3 เม.ย. 2567 | 10.21 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
รู้สึกละอาย ผู้การแต้ม มองคดี บิ๊กต่อ-บิ๊กโจ๊ก ไม่จบง่าย ๆ ชี้หมายจับบิ๊กโจ๊กทำตามขั้นตอน หากบิ๊กต่อผิด ก็ต้องโดน

ผู้การแต้ม วันนี้(3 เม.ย.2567) เมื่อเวลาประมาณ 09.30 น. พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ หรือที่รู้จักในนาม ผู้การแต้ม อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยในรายการสนามข่าวออนไลน์ ถึงการออกหมายจับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือบิ๊กโจ๊ก รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในคดีฟอกเงินเว็บพนันออนไลน์ว่า เรื่องนี้ไม่เหนือความคาดหมาย ความจริงพนักงานสอบสวนไม่ออกหมายเรียกก็ได้เพราะคดีโทษเกิน 3 ปี ขอหมายจับเลยก็ได้ แต่เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ มีที่ทำงานเป็นหลักแหล่ง ภูมิลำเนาชัดเจน ให้เกียรติกันจึงออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหาเท่านั้น เพราะในกลุ่มคดีเดียวกัน ศาลได้ออกหมายจับไปแล้ว มีตำรวจ 3 คน พลเรือน 1 คน ซึ่งบิ๊กโจ๊กก็อยู่ในคดีนี้ ตัวเองก็ต้องโดนหมายเรียก ศาลให้เกียรติจึงให้ออกหมายเรียกก่อน ซึ่งศาลพิเคราะห์ว่าเป็นเจ้าพนักงานรู้หมายแล้วก็ต้องมา แต่กลับบ่ายเบี่ยง ศาลจึงมองว่าพฤติกรรมนี้เหมือนจะหลบหนีไม่รับหมาย ทำให้การส่งหมายบกพร่อง ศาลจึงออกหมายจับเจอที่ไหนให้จับได้ แต่พนักงานสอบสวนทำตามกฎหมายที่กำหนดไว้ ในการออกหมายเรียก การที่ออกหมายเรียกถึง 3 ครั้ง เป็นการให้เกียรติว่าเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ พนักงานสอบสวนใช้อำนาจตามที่มีในการออกหมายเรียก ทำตามที่ศาลแนะนำเมื่อครั้งไปขอหมายจับครั้งแรก

สำหรับกรณีที่หลายคนตั้งข้อสังเกตว่าการออกหมายเรียกนั้นมิชอบ พล.ต.ต.วิชัย มองว่าจะบอกแบบนั้นไม่ได้ เพราะออกหมายเรียกไปแล้ว หากคิดแบบนั้นก็ไม่ต้องออกหมายเรียก ให้จับไปเลย แต่ถ้าจับเลยก็จะบอกอีกว่า ทำไมไม่ออกหมายเรียกหรือหมายจับก่อน ฉะนั้นจะพูดอะไรต้องใช้กฎหมายใช้ความรู้สึกไม่ได้ 

ส่วนเส้นทางข้าราชการของบิ๊กโจ๊กนั้น ไม่อาจตอบได้ แต่ในทางกฎหมาย บิ๊กโจ๊กต้องรายงานตัวต้องคดี ต้องถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง หากผิดจริงคือพักราชการและให้ออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งกระทบกับตำแหน่งแน่นอนเพราะจะเสนอชื่อขึ้น ผบ.ตร.ไม่ได้ ในระหว่างตั้งคณะกรรมการสอบสวน แต่ไม่สามารถมองได้ว่าจะออกมามุมไหน แต่ข้าราชการโดนข้อหาฟอกเงิน ถือว่าเป็นข้อหาหนัก ตำแหน่งหน้าที่เมื่อตำแหน่งสูงเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ต้องจับกุมคนทำผิดแต่กลับทำเสียเอง หนักสุดคือทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสียหายอย่างร้ายแรง

เมื่อถามถึงกรณีที่ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.นั้น ก็ต้องสอบสวนเช่นเดียวกับบิ๊กโจ๊ก หากพบความผิด บิ๊กต่อ หรือ ครอบครัว ก็ต้องถูกออกหมายเรียกเช่นเดียวกัน แต่ต้องดูว่าการสอบสวนในเนื้อสำนวนไปถึงหรือไม่ ถ้าพฤติกรรมเดียวกันก็ต้องทำเหมือนกันไม่มีข้อยกเว้น

สำหรับภาพลักษณ์สำนักงานตำรวจแห่งชาติตอนนี้ ส่วนตัวยังรู้สึกละอาย ยอมรับเราก็ไม่ใช่ตำรวจดี แต่เราอยู่ระดับสูงไม่ควรประพฤติปฏิบัติแบบนี้ เราต้องเป็นตัวอย่างให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ลูกน้องก็เอาอย่าง ประชาชนก็ไม่ศรัทธา เมื่อออกหมายเรียกก็ยังมีช่องนั้นช่องนี้ แบบนี้กระบวนการยุติธรรมบิดเบี้ยวหรือไม่ หากตนเองโดนหมายเรียก จะเดินเข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาแล้วถามเลยว่าผิดอะไร แจ้งข้อหามาเลย เชื่อว่าเรื่องในไม่จบง่าย ๆ และจะเป็นมหากาพย์ เพราะคดีบางส่วนอยู่ ป.ป.ช. อัยการ พนักงานสอบสวน และไม่รู้จะแจ้งความกันอีกกี่ครั้ง แต่สุดท้ายเรื่องนี้จะไปจบสองทางคือ คุกหรือไม่คุก เพราะบิ๊กโจ๊ก โดนฟอกเงินก็จะโดนตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน หากไม่ตรงที่แจ้ง ป.ป.ช. ก็จะเหนื่อยอีก

ผู้การแต้ม ทิ้งท้ายว่า สมัยก่อนสำนีกงานตำรวจแห่งชาติมีเอกภาพมาก ผบ.ตร. เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวในการบริหารงาน และจะมี ผบ.ตร.น้อย คุมงานสืบสวนสอบสวน เป็นที่รู้กันว่าจะขึ้นเป็น ผบ.ตร.คนต่อไป แต่สมัยนี้ไม่ใช่ รอง ผบ.ตร.มีหลายคน ต่างคนต่างทำงาน ต่างคนต่างแถลงข่าว ส่วน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รักษาราชการ แทน ผบ.ตร. จะกล้าฟันผิดหรือไม่นั้น ก็อยู่ที่ใจเขา ถ้าเขาไม่ทำก็ตายเช่นกัน แต่ถ้าทำเขาไม่ตาย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง