รอสรุปผลสอบเจ้าหน้าที่เอื้อประโยชน์ คดี กากแคดเมียม

View icon 24
วันที่ 14 เม.ย. 2567 | 05.07 น.
สนามข่าวเสาร์-อาทิตย์
แชร์
สนามข่าวเสาร์-อาทิตย์ - ตำรวจ บก.ปทส. เชื่อว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐที่เอื้อประโยชน์ในคดีกากแคดเมียม แต่ยังไม่สามารถดำเนินคดีได้ทันที เพราะต้องรอผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง จากคณะกรรมการของกระทรวงอุตสาหกรรม ชี้ขาด และแจ้งความร้องทุกข์ก่อน

พลตำรวจตรี วัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผู้บังคับการ ปทส. เปิดเผยเรื่องการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับคดีกากแคดเมียมว่า นอกจากจะดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องที่อยู่ปลายทางในพื้นที่ จังหวัดสมุทรสาคร แล้วต้นทางที่จังหวัดตาก ก็ต้องมีการดำเนินคดีด้วย

เพราะเดิม กากแคดเมียม อยู่ในสภาพของการฝังทำลายอยู่แล้ว การที่จู่ ๆ จะมีคนมาติดต่อขอซื้อ และขออนุญาตขนย้ายไปที่จังหวัดสมุทรสาคร ต้องมีเหตุและผลว่าทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร การที่เจ้าหน้าที่รัฐอนุญาตให้ขุด และเคลื่อนย้ายออกไปได้ มาจากสาเหตุใด

ซึ่งเรื่องนี้ยังต้องรอผลการสอบสวนจาก คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของ กระทรวงอุตสาหกรรม สรุปผลออกมาก่อน หากผลที่ออกมาพบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐ กระทำไปโดยทุจริตจริง ก็จะมาร้องกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น บก.ปปป. หรือ บก.ปทส. เพื่อให้สืบสวนดำเนินคดีต่อไปได้

ส่วนเรื่องกากแคดเมียมอีก 1,200 ตัน ที่ยังหาไม่เจอ กุญแจสำคัญที่จะไขคำตอบเรื่องนี้ได้ อยู่ที่ นายเจษฎา เจ้าของโรงหลอม เพราะเป็นคนที่รู้ดีว่า ในการซื้อ-ขาย ที่ผ่านมา มีการชั่งน้ำหนักอย่างไร ปริมาณแท้จริงที่ซื้อขายคือจำนวนเท่าไรแน่ ต้องรอหลังสงกรานต์ วันที่ 18 เมษายนนี้ คาดว่าจะได้คำตอบ

ขณะที่ นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยความคืบหน้าการจัดการปัญหาผลการสุ่มตัวอย่าง "กากแคดเมียม" ที่พบในจังหวัดสมุทรสาคร, ชลบุรี และกรุงเทพฯ ระบุว่าได้รับผลการตรวจสอบตัวอย่าง "กากแคดเมียม" จากศูนย์วิจัยและเตือนภัยมลพิษโรงงาน ของกรมโรงงานอุตสาหกรรมแล้วไปตรวจสอบ

โดยพบว่า ของกลางที่พบมีธาตุเคมีตรงกับที่เจอในบ่อฝังกลับ จังหวัดตาก ไม่พบสารกัมมันตภาพรังสี และมีความชื้นเหลืออยู่เพียง 18% ตรวจยึดได้ทั้งหมดมีต้นทางมาจากแหล่งเดียวกัน ในจังหวัดตาก ไม่พบว่า "กากแคดเมียม" ที่สุ่มตรวจมีสารกัมมันตภาพรังสีหลงเหลืออยู่ ส่วนผลการชั่งน้ำหนักล่าสุด พบของกลางมีน้ำหนักรวม 12,535 ตัน 

สำหรับแผนขนย้ายนำกลับไปฝังกลบ ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการปรับปรุงรายละเอียด ตามความเห็นของกระทรวงฯ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ปลอดภัยเป็นไปตามได้มาตรฐานสากล