ตำรวจสุดช้ำ เล่านาทีจับ CEO สาวเมาแล้วขับ กลับถูกถีบหน้าชา

View icon 565
วันที่ 26 เม.ย. 2567 | 12.01 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
สุดช้ำ ! ตำรวจ จับ CEO สาวเมาแล้วขับ กลับถูกถีบหน้า โดนด่าสารพัด เผย  ทำเอาตนเองหน้าชามึนไปพอสมควร

จากกรณีที่ ผู้บริหารสาวบริษัทให้บริการข้อมูลระดับโลก ถูกจับกุมเมาแล้วขับ ต่อสู้ขัดขวางถึงขั้นถีบหน้า พ.ต.ท. ดาราธร ขจรศิลป์ รองผู้กำกับการ 5 กองบังคับการตำรวจจราจร ระหว่างนำตัวขึ้นรถส่งดำเนินคดีที่ สน. ประเวศ โดยเหตุเกิดเวลา 00.30 น. วันที่ 23 เมษายน ที่ผ่านมา ที่ด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ซึ่งตั้งอยู่บริเวณฝั่งตรงข้ามมัสยิด ถนนเลียบมอเตอร์เวย์ แขวงและเขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร

ล่าสุด (26 เม.ย. 67) พ.ต.ท. ดาราธร ได้มาเปิดใจยอมออกสื่อครั้งแรก โดยเปิดเผยว่า ในวันเกิดเหตุนั้นตำรวจได้ขอความร่วมมือให้ผู้ก่อเหตุเป่าเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ ซึ่งก็พบว่ามีปริมาณเกินเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด คือ 104 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จากนั้นได้เชิญมาแจ้งสิทธิ์ และแจ้งข้อกล่าวหา  ซึ่งผู้ก่อเหตุก็ยังคงด่าทอใช้คำพูดที่ไม่ดี และขัดขืนไม่ยอมให้ตำรวจดำเนินการตามขั้นตอน ซึ่งระหว่างที่จะนำตัวไปส่งพนักงานสอบสวน สน. ประเวศ ก็ให้ขึ้นรถกระบะตำรวจโดยให้ผู้ก่อเหตุเข้าไปที่ด้านหลังแคปของรถกระบะ โดยให้ผู้ก่อเหตุเข้าไปในลักษณะนอนตามแนวเบาะ ระหว่างที่ตนเองเอื้อมมือไปปิดประตูนั้น หันหน้ากลับมาก็เจอ แม่ไม้มวยไทย บาทาลูบพักตร์ ถีบหน้าเข้าให้อย่างจัง เล่นทำเอาตนเองหน้าชามึนไปพอสมควร จึงรวบขาไม่ให้ดิ้นรนขัดขืนอีก

จนมาถึงที่ สน. ประเวศ สิ่งที่ทำให้ลูกน้องของตนเองคาใจก็คือ คำพูดของผู้ก่อเหตุที่ต่อว่าตำรวจ “อีชั้นต่ำ” และยังมีทีท่าไม่ยอมรับผิดกับสิ่งที่ทำ ซึ่งตนเองยืนยันว่าจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง

อีกทั้งยังฝากเตือนประชาชนว่า เมาอย่าขับ เพราะสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุอันดับหนึ่งมาจากเมาแล้วขับ หลายคนมักอ้างว่าเมาแล้วขับไม่ได้ไปฆ่าใครตายซะหน่อย อย่าให้เปลี่ยนความเชื่อแบบนี้ เพราะจากสถิติการเมาแล้วขับได้ส่งผลทำให้เกิดการเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บของคู่กรณี จึงอยากให้ประชาชนหันมาให้ความสำคัญ เรื่องเมาไม่ขับ ให้มากขึ้น เพราะถ้าไม่เกิดกับตนเองและครอบครัวคงไม่เข้าใจไม่รู้สึก

ส่วนเกรียนคีย์บอร์ดที่เข้าไปคอมเม้นต์ในโลกโซเชียลว่า ผู้ก่อเหตุเป็นตัวแทนหมู่บ้าน ที่ถีบหน้าตำรวจแทนให้นั้น อยากให้ใช้สติคิดก่อนว่า ผู้ก่อเหตุทำผิดกฎหมายคือเมาแล้วขับ ซึ่งมันอาจจะส่งผลกระทบต่อผู้อื่นได้

ด้าน พ.ต.อ. จิรกฤต จารุนภัทร์ รองผู้บังคับการตำรวจจราจร เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาเจอคนเมาแล้วขับขณะปฏิบัติหน้าที่อยู่บ่อยครั้งจนชิน เจอมาทุกรูปแบบ ทั้งยอมจำนนโดยดี ทั้งขัดขืนไม่ยอมเป่าเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ ทั้งพูดจาไม่รู้เรื่อง หรือแม้แต่แกล้งหลับ แกล้งตายไปเลยก็มี โดยยืนยันว่า กรณีตำรวจทำตามขั้นตอนการจับกุมทุกอย่าง ไม่ได้มีการใช้กำลังรุนแรงเกินกว่าเหตุแต่อย่างใด และที่ไม่ได้ใช้กุญแจมือพันธนาการกับผู้ก่อเหตุก็เพราะว่าเห็นว่าเป็นผู้หญิง ชุดจับกุมประเมินแล้วว่าน่าจะเอาอยู่ แต่ก็ถูกจะทำดังกล่าวจนได้

สำหรับเหตุกาตณ์เกิดขณะที่ตำรวจ บก.จร.กำลังตั้งจุดตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์และกวดขันวินัยจราจร ได้มีรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ สีดำ ทะเบียน กรุงเทพมหานคร มี นางสาว มนธ์สินี อายุ 51 ปี ผู้บริหารกลุ่มองค์กรภาครัฐ Google Cloud ประเทศไทย เป็นผู้ขับขี่ เข้ามายังจุดตรวจ

จากนั้นเมื่อเจ้าหน้าที่ทำการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ผลปรากฏว่าวัดได้ 104 มิลลิกรัมเปอเซนต์ เกินกว่ากฎหมายกำหนด จึงได้แจ้งสิทธิและแจ้งข้อกล่าวหา ขณะควบคุมนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวนที่ สน.ประเวศ น.ส.มนธ์สินีผู้ต้องหาได้ขัดขืน พร้อมทั้งด่าทอเจ้าหน้าที่ และถ่ายคลิปวิดีโอ และใช้เท้าถีบเข้าบริเวณใบหน้าข้างขวาของ พันตำรวจโท ดาราธร 1 ครั้ง แต่ตำรวยควบคุมตัวไว้ได้ และส่งให้พนักงานสอบสวน สน. ประเวศดำเนินคดี จากการตรวจสอบประวัติยังพบว่าเคยถูกดำเนินคดีข้อหาเมาแล้วขับ เมื่อปี 2565 มาแล้ว ซึ่งก็เป็นการถูกจับกุมในจุดเดิม ซึ่งระหว่างที่ตำรวจดำเนินคดีนั้นก็ยังป่วนนำแอลกอฮอล์มาฉีดใส่ตำรวจ แต่ว่าไม่ได้ลงมือทำร้ายตำรวจแต่อย่างใดจึงดำเนินคดีในข้อหาเมาแล้วขับเพียงข้อหาเดียว ซึ่งครั้งนั้นศาลได้พิพากษาลงโทษ โดยให้รอลงอาญา 2 ปี จนกระทั่งมาก่อเหตุในครั้งนี้อีก ซึ่งยังอยู่ในห้วงเวลาที่ศาลให้รอลงอาญาด้วย

ส่วนทางด้านคดี พันตำรวจเอก สุรพงษ์ พุฒขาว ผู้กำกับการ สน.ประเวศ เปิดเผยว่า จากพฤติการณ์การก่อเหตุ พนักงานสอบสวนเตรียมดำเนินคดีกับผู้กีอเหตุ 3 ข้อหาคือ เมาแล้วขับ, ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ และทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานขณะปฎิบัติหน้าที่ ซึ่งทางผู้ก่อเหตุรับสารภาพในข้อหาเมาแล้วขับ แต่อีก 2 ข้อหาให้การปฏิเสธ โดยเจ้าตัวสะดวกที่จะมาให้ปากคำ และรับทราบข้อกล่าวหากับพนักงานสอบสวน ในวันที่ 3 พฤษภาคมนี้

ส่วน พ.ต.ท. ดาราธร พนักงานสอบสวนได้นัดมาเข้าให้ปากคำในวันพรุ่งนี้ (27 เม.ย. 67)

อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า จะให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าบ ใครถูกก็ว่าไปตามถูก ใครผิดก็ไปตามผิด ซึ่งหลังจากสอบปากคำ รวบรวมพยานหลักฐานแล้วเสร็จ ก็จะส่งสำนวนให้พนักงานอัยการพิจารณาสั่งฟ้องตามขั้นตอนต่อไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง