องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ ยืนยกฟ้อง “ปารีณา” ปมยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ เจ้าตัวเตรียมฟ้องกลับ

องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ ยืนยกฟ้อง “ปารีณา” ปมยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ เจ้าตัวเตรียมฟ้องกลับ

View icon 104
วันที่ 30 พ.ค. 2567 | 16.07 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
รอดคดี องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ ยืนยกฟ้อง “ปารีณา” ปมยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ เจ้าตัวเตรียมฟ้องกลับ ป.ป.ช. ลั่นควรยุบ ให้อำนาจชี้มูลเป็นของอัยการ

วันนี้ (30 พ.ค.67) ที่ศาลฎีกา เเผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดี อม.อธ. 10/2566 ชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ ระหว่างคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยื่นฟ้อง น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต สส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จฯ

คำฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 17 ต.ค.65 ผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ กรณีเข้ารับตำแหน่ง สส. ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สิน 2 รายการ ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาตรา 114 วรรคสอง (1), 167 และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกกล่าวหาตาม พ.ร.ป. ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาตรา 81 ผู้ถูกกล่าวหาให้การปฏิเสธ

คดีนี้เมื่อวันที่ 8 ก.ย.2566 ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีมติเสียงข้างมาก พิพากษายกคำร้อง

ในวันนี้ น.ส.ปารีณา เดินทางมาศาลพร้อมทนายความเเละบุตรชาย โดยองค์คณะชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ มีคำพิพากษายกฟ้อง

ภายหลังอ่านคำพิพากษา นายทิวา การกระสัง ทนายความของ น.ส.ปารีณา กล่าวว่า ป.ป.ช. มีการอุทธรณ์ใน 2 ประเด็น ซึ่งที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า น.ส.ปารีณา จะให้การในชั้นการสอบสวนของ ป.ป.ช. ที่แตกต่างกันว่า มีการกู้เงินจริง เพราะลูกหนี้ยอมรับว่า น.ส.ปารีณา ได้ช่วยเหลือในการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2555 จึงมีการกู้เงินจำนวน 10 ล้านบาท แต่ใช้คืนไม่หมด จึงมีการทำสัญญาในปี 2561 ถือว่าเป็นมูลเหตุของคดีนี้ โดยในที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาไม่ได้เชื่อคำอุทธรณ์ของ ป.ป.ช.

ส่วนกรณีครอบครองพระเครื่อง 2 องค์ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า น.ส.ปารีณาไม่มีความรู้เรื่องพระเครื่อง จึงเชื่อได้ว่าพระเครื่อง 2 องค์ดังกล่าว เป็นพระองค์เดียวกัน แม้กรอบพระจะแตกต่างกัน ซึ่งการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน เป็นการตีราคาพระ ไม่ได้ตีราคากรอบพระ จึงเชื่อได้ว่าน.ส.ปารีณาไม่ได้มีเจตนาจงใจที่จะไม่แสดงบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สิน หรือที่มาของทรัพย์สิน ศาลฎีกาในชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ จึงมีคำวินิจฉัยยกคำร้องอุทธรณ์ของ ป.ป.ช.

ทั้งนี้ จะมีการฟ้องกลับในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 157 เนื่องจากการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ผู้ที่แสดงเป็นเท็จต้องมีเจตนาพิเศษคือ การจงใจที่จะปกปิดทรัพย์สินไม่ให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ ทั้งยังไม่เชื่อเอกสารที่มีการยื่นโต้แย้งไป โดยยืนยันว่าเรามีเจตนาพิเศษที่จะปกปิด ดังนั้น จึงมีสิทธิฟ้องเรื่องการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยหลังจากนี้จะมีการพิจารณาเรื่องดังกล่าวกับ น.ส.ปารีณาอีกครั้ง

ด้าน น.ส.ปารีณา ระบุว่า วันนี้รู้สึกดีใจ และรู้สึกว่ายังมีข้อบกพร่องของกระบวนการยุติธรรม และเรื่องขององค์กรอิสระที่ไม่มีความเป็นอิสระ ซึ่งมีการใช้หน้าที่เกินขอบเขตของกฎหมาย โดยในวันนี้แสดงให้เห็นว่าประชาชนยังมีที่พึ่งหวังคือศาลฎีกา ที่ยังสามารถใช้ต่อสู้คดี เพื่อหาความยุติธรรม

เมื่อถามว่า หลังจากนี้จะมีการดำเนินการทางกฎหมาย ฟ้องกลับ ป.ป.ช.หรือไม่ น.ส.ปารีณา ระบุว่า จะมีการฟ้องกลับอย่างแน่นอน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้กับผู้อื่น และเป็นการตรวจสอบพฤติกรรมขององค์กรอิสระว่าใช้อำนาจเกินขอบเขตหรือไม่ ซึ่งการกู้ยืมเงินครั้งนี้ มีสัญญาเงินกู้ บ้านและที่ดินค้ำประกัน มีการเซ็นเช็ก เพื่อชำระ และเรื่องของพระ ก็มีฎีกาออกมาแล้ว ว่าเป็นเรื่องของความพอใจ ยืนยันว่าตนไม่ใช่เซียนพระ ไม่มีความรู้เรื่องพระ และไม่เคยครอบครองพระมาก่อนแต่งงาน แต่อดีตสามีเคยมอบพระให้ตน ยืนยันตนบริสุทธิ์ในการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน จึงรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ที่ถูกชี้มูลความผิดในครั้งนี้ เนื่องจากเรื่องนี้เป็นการทำเกินขอบเขตอำนาจของกฎหมาย และก่อนที่จะถูก ป.ป.ช. ชี้มูลทนายความตนได้ทำหนังสือค้านไป พร้อมขอยื่นอุทธรณ์แล้วว่าการกระทำดังกล่าวขัดต่อกฎหมาย แต่ ป.ป.ช. ยังคงเดินหน้าชี้มูลความผิดตน

ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ล่ารายชื่อประชาชน เพื่อถอดถอนคณะกรรมการ ป.ป.ช.บางคนนั้น น.ส.ปารีณา มองว่า เป็นความเห็นของประชาชนกลุ่มหนึ่ง แต่ตนมองว่าควรจะยุบ ป.ป.ช.ไปเลย และให้อำนาจชี้มูลกับทางอัยการ จะดีกว่าหรือไม่ 

อย่างไรก็ตาม น.ส.ปารีณา เคยถูกศาลฎีกาพิพากษาตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่เกิน 10 ปี ไปเมื่อวันที่ 7 เม.ย.65 กรณีรุกที่ป่าสงวนครอบครอบที่ดินโดยไม่คืนที่ดินสู่การปฏิรูป จำนวน 711 ไร่ ทำฟาร์มไก่ใน จ.ราชบุรี จากคำร้องของ ป.ป.ช.ฐานกระทำผิดจริยธรรมร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2561

ข่าวที่เกี่ยวข้อง