ไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ระยะท้ายเสี่ยงป่วยติดเตียงทะลุ 2 แสนคนต่อปี

ไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ระยะท้ายเสี่ยงป่วยติดเตียงทะลุ 2 แสนคนต่อปี

View icon 129
วันที่ 31 ก.ค. 2567 | 16.17 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
ปี 67 ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น 20% ระยะท้ายเสี่ยงป่วยติดเตียงทะลุ 2 แสนคนต่อปี สสส. ถอดบทเรียนระบบชีวาภิบาล หนุนชุมชนร่วมสร้างสังคม อยู่ดี–ตายดี

วันนี้ (31 ก.ค. 67) นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยว่า ปี 67 นี้ไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ มีประชากรสูงวัยเพิ่มสูง 20% ทำให้ไทยมีผู้สูงอายุมากถึง 14 ล้านคน ส่งผลให้มีผู้สูงอายุที่เป็นผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวและโรคเรื้อรังเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) คาดการณ์ว่าจะมีผู้ป่วยอยู่ในระยะประคับประคองเพิ่มขึ้น 229,817 คน ในจำนวนนี้ เป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งมากสุด 30% รองลงมาคือโรคหลอดเลือดสมอง 17% โรคไต 11% โรคหัวใจ 10% และโรคทางเดินหายใจ 5% 

จากสถานการณ์นี้ สสส. ได้ร่วมกับ Peaceful Death ริเริ่มโครงการเมืองกรุณาเพื่อการอยู่และตายดี ส่งเสริมให้บุคลากรทางการแพทย์ ครอบครัว อาสาสมัคร และชุมชน ร่วมดูแลใส่ใจผู้ป่วยระยะท้ายอย่างเข้าใจพร้อมเรียนรู้ชีวิตและการจากไปโดยคงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

น.ส.วรรณา จารุสมบูรณ์ ผู้จัดการโครงการเมืองกรุณาเพื่อการอยู่และตายดี กลุ่ม Peaceful Death กล่าวว่า โครงการเมืองกรุณาเพื่อการอยู่และตายดี มีหมุดหมายที่สำคัญ คือ  1.Move สถานพยาบาลทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชน เชื่อมโยงแนวทางการทำงานระบบชีวาภิบาล และถอดบทเรียน 2.Move ระบบชีวาภิบาลไปสนับสนุนชุมชน พัฒนาคนในพื้นที่ให้มีความรู้เรื่องการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย สร้างสังคมที่มีกรุณา ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในระดับพื้นที่ ทั้งนี้ เตรียมเสนอระบบชีวาภิบาลในท้องถิ่นต่อรัฐบาลเพื่อกำหนดเป็นนโยบายระดับชาติ โดยเพิ่มชุดสิทธิประโยชน์หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตในช่วงท้ายที่ดี และมีความมั่นใจที่จะดูแลความเจ็บป่วยและการสูญเสียได้ด้วยตนเองได้

นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ ประธานคณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายชีวาภิบาล กล่าวว่า การบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม พัฒนาระบบชีวาภิบาล จะช่วยให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจ และทักษะในการดูแลผู้ป่วย รวมทั้งสนับสนุนให้ท้องถิ่นได้พัฒนาระบบ นวัตกรรม การดูแลผู้ป่วยระยะยาว และระยะท้ายตอบโจทย์บริบทของท้องถิ่น พัฒนาเครือข่ายหรืออาสาสมัครในชุมชนให้มีความรู้ เป็นแกนนำในการดูแลสุขภาพของคนในชุมชนกันเอง หากคนทำงานในทุกระดับมีจิตใจเมตตา ใช้ปัญญาเข้ามาช่วยให้ผู้ป่วยทุกข์น้อยลง มีความสุขมากขึ้น ถือเป็นการสร้างสังคมที่มีสุขภาวะทางปัญญาที่ยั่งยืน ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจร่วมเรียนรู้และผลักดันระบบชีวาภิบาล ติดตามได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ Peaceful death

ข่าวที่เกี่ยวข้อง