วันนี้ (19 ก.ย. 67) ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.5 เปอร์เซ็นต์ เมื่อวานนี้ ตามเวลาในท้องถิ่น ซึ่งถือว่าเป็นการปรับลดครั้งใหญ่ครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี หลังต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีขึ้นก่อนหน้าการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพียงไม่กี่สัปดาห์
ทั้งนี้ การตัดสินใจของเฟด ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงมาอยู่ที่ระดับ 4.8 เปอร์เซ็นต์ จาก 5.3 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งก่อนหน้านี้ เป็นระดับที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาตลอด 14 เดือนที่ผ่านมา โดยอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ลดลงจากระดับสูงสุดที่ 9.1 เปอร์เซ็นต์ เมื่อกลางปี 2565 ลงมาอยู่ที่ระดับ 2.5 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเดือนสิงหาคม ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อในระยะยาวที่เฟดกำหนดไว้ที่ 2 เปอร์เซ็นต์
ทั้งนี้ เฟดยังส่งสัญญาณว่า อาจมีการลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.5 เปอร์เซ็นต์ ในการประชุมที่เหลืออีกสองครั้งของปีนี้ คือในเดือนพฤศจิกายน และธันวาคม
ขณะที่ อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวโจมตีรัฐบาลของประธานาธิบดี โจ ไบเดน และรองประธานาธิบดี คอมมาลา แฮร์ริส ว่า เป็นต้นเหตุที่ทำให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น และการลดดอกเบี้ยครั้งนี้ ยังแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯ กำลังย่ำแย่ ขณะที่ แฮร์ริสกล่าวตอบโต้กลับว่า นโยบายของทรัมป์ที่จะเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าทุกประเภทนั้น จะยิ่งทำให้ต้นทุนของผู้บริโภคยิ่งสูงขึ้น
ทั้งนี้ การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะมีผลให้ต้นทุนการกู้ยืมเงินของคนอเมริกันลดต่ำลง ทั้งเงินกู้ซื้อบ้าน รถยนต์ และบัตรเครดิต ซึ่งจะช่วยให้คนอเมริกันมีเงินจับจ่ายซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นและช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจได้ ขณะที่ ชาวอเมริกันยังคงไม่พอใจกับราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ยังคงแพงอยู่