ข่าวเย็นประเด็นร้อน - นายอนุทิน ชาญวีรกูล ยอมรับแล้ว เป็นคนชวน นายเนวิน ไปกินข้าวกับนายทักษิณ ที่บ้านจันทร์ส่องหล้าฉลองวันคล้ายวันเกิด เผย ชื่นมื่น ไม่ได้โกรธกัน งง ใครพูด "มันจบแล้วครับนาย" ปัดคุยแก้ รธน. ยัน ไม่มีนายกฯคนละครึ่ง ขอสนองงาน "แพทองธาร" ให้ดีที่สุด เป็นรัฐบาลให้ยาว
หากยังจำกันได้ เมื่อวาน ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ถึงกระแสข่าวเข้าพบ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมกับ นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ยูไนเต็ด ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า เมื่อวันที่ 6 ตุลาคมที่ผ่านมา แต่นายอนุทิน ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ ก่อนจะบอกว่า "ไร้สาระ"
แต่วันนี้ นายอนุทิน ออกมายอมรับแล้วว่า ได้ไปทานข้าวเย็นที่บ้านนายทักษิณ ซึ่งไปเป็นประจำอยู่แล้วและยอมรับว่า เป็นคนชวนนายเนวินไปเอง จบนะ ไม่ต้องถามอะไรต่อ เพราะการกินข้าวเป็นเรื่องส่วนตัวเป็นเรื่องภายใน ซึ่งนายทักษิณใจดี ได้อวยพรวันเกิดนายเนวิน ให้เสื้อแจ็คเก็ตหนึ่งตัว ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างนายเนวินกับนายทักษิณนั้น ก็ไม่ได้โกรธอะไรกันเลย เรื่องที่บอกว่าโกรธ ประโยคที่ว่า "มันจบแล้วครับนาย" ใครก็ไม่รู้ไปพูด เพราะตนอยู่มาตั้ง 10 กว่าปีไม่เคยได้ยินคำนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการจับตาว่า อาจจะมีนายกฯ คนละครึ่งกับพรรคเพื่อไทย นายอนุทิน ตอบกลับว่า "คนละครึ่ง หมดไปตั้งแต่รัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตนตั้งใจทำงานรับใช้สนองงานนายกฯแพทองธารให้ดีที่สุด ตั้งแต่รู้จักกันมา นายกฯเรียกตนว่า อาทุกคำ จนต้องไปขอให้อย่าเรียกว่า "อา" ทำให้เดี๋ยวนี้นายกฯ เรียกตนว่า ท่านรองฯ อนุทิน พร้อมปฏิเสธกระแสข่าวเป็นนายกฯ คนละครึ่ง ว่าไม่จริง เพราะนี่เป็นรัฐบาล ไม่ใช่การหุ้นกันแล้วแบ่งกันคนละครึ่ง ส่วนที่นายเนวิน เคยอวยพรให้ตนเป็นนายกฯนั้น นายอนุทิน ย้อนถามกลับว่า แล้วจะให้อวยพรให้ไปเป็นผู้จัดการฟุตบอลบุรีรัมย์หรืออย่างไร ใคร ๆ ก็อวยพรอย่างนั้นแหละ มีคนอวยพรตนมาเป็น 10 ปี ไม่เห็นจะได้ซักทีเลย" เมื่อถามว่า เหตุใดเมื่อวานนี้ (7 ต.ค.) จึงหนีไม่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน นายอนุทิน บอกว่า "ไม่ได้หนี แต่แกล้งผู้สื่อข่าว"
สำหรับ นายเนวิน ชิดชอบ ย้ายมาอยู่กับพรรคไทยรักไทย ช่วงก่อนการเลือกตั้งในปี 2548 จนทำให้พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งในบุรีรัมย์ทั้งจังหวัด หลังจากนั้น นายเนวิน กลายเป็นคนใกล้ชิดของนายทักษิณ หลังเกิดเหตุรัฐประหารในปี 2549 นายเนวินถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง นายเนวินก่อตั้งกลุ่มเพื่อนเนวิน และยังสนับสนุนพรรคพลังประชาชน และนายสมัคร สุนทรเวช ให้เป็นนายกฯ
แต่หลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายสมัคร พ้นจากตำแหน่งนายกฯ นายทักษิณ ให้นายเนวินไปแจ้ง สส.พลังประชาชน ให้สนับสนุนนายสมัครเป็นนายกฯ ครั้งที่ 2 แต่เมื่อมีการประชุมสภาฯ กลับเสนอชื่อ นายสมชาย เป็นนายกฯ แทน เหมือนหักหลังนายสมัคร ทำให้นายเนวินไม่พอใจ เมื่อพรรคพลังประชาชนถูกยุบพรรค และให้ สส.ย้ายไปอยู่พรรคเพื่อไทย นายเนวิน ตัดสินใจไม่เข้าร่วมกับพรรคเพื่อไทย และนำ สส.ไปก่อตั้งพรรคภูมิใจไทย เพื่อสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จนเป็นนายกฯ ในปี 2551 นายทักษิณต่อสายตรงไปหานายเนวิน เพื่อให้พากลุ่มเพื่อนเนวินกลับมาอยู่กับพรรคเพื่อไทย แต่นายเนวิน ยังยืนกรานว่า จะอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายศุภชัย โพธิ์สุ ซึ่งตอนนั้น เป็น สส.นครพนม กลุ่มเพื่อนเนวิน อดีตสมาชิกพรรคพลังประชาชน บอกว่า ระหว่างที่ทักษิณสนทนากับเนวินอยู่นั้น นายเนวินพูดเพียงสั้น ๆ ว่า "ทุกอย่างมันจบแล้วครับนาย"
หลังจากนั้นในเหตุการณ์การชุมของกลุ่ม นปช.ในปี 2552 นายเนวิน ถูกนายทักษิณและกลุ่มคนเสื้อแดงโจมตีว่า เนรคุณหลายต่อหลายครั้งด้วยกัน จนนายเนวิน เปิดแถลงข่าวตัดสัมพันธ์กับนายทักษิณ ว่า "ถูกนายทักษิณหักหลัง"
ขณะที่ นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน บอกว่า ตอนนี้ เริ่มไม่แน่ใจว่า ใครคือพรรคการเมืองที่เป็นแกนนำ บอกได้ว่า ตอนนี้พรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคแกนนำตัวจริง เพราะการตัดสินใจหลาย ๆ อย่าง การพลิกไปพลิกมาที่เราเห็นของฝั่งรัฐบาล ล้วนถูกชี้นำโดยพรรคภูมิใจไทยทั้งสิ้น ถ้ามองในประวัติศาสตร์ อาจจะพบว่า นายเนวินกับนายทักษิณ เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขและมีความขัดแย้งกันมา วันนี้ก็ต้องกลับมาร่วมกันอีก อาจจะด้วยเหตุผลทางการเมืองจะเห็นว่าบทบาทของพรรคภูมิใจไทยในวันนี้ ชี้นำทางการเมือง สุดท้ายความฝันของนายเนวินจะเป็นจริงหรือไม่ คงต้องติดตามก็ดูต่อไป ส่วนกระแสข่าวนายกฯ คนละครึ่ง นายรังสิมันต์ บอกว่า "เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะเก้าอี้นายกฯ ไม่ใช่เก้าอี้ดนตรี ที่จะผลัดกันมานั่งเล่น"
ส่วนความเคลื่อนไหวของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล โดยวันนี้ นายกฯ และรัฐมนตรี สวมชุดดำและชุดโทนสีเข้ม เพื่อไว้อาลัยให้กับเด็กและครูที่เสียชีวิตจากเหตุรถบัสทัศนศึกษาไฟไหม้
ก่อนขึ้นประชุมคณะรัฐมนตรี ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงกระแสข่าว นายอนุทิน พร้อมด้วย นายเนวิน เข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า ไปพบนายทักษิณ ซึ่งมีกระแสข่าวว่า นางสาวแพทองธาร ร่วมอยู่ด้วย โดย นายกรัฐมนตรี ระบุสั้น ๆ ว่า "ไม่ทราบ วันนั้นไปเข้าเฝ้าฯ เดี๋ยวขอโทรไปถามคุณพ่อก่อน" ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้เจอ นายเนวินใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า "ไม่ได้เจอ เดี๋ยวขอถามคุณพ่อก่อน"
ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร กล่าวชี้แจงถึงเหตุผลการตั้งนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการตอบโต้เรื่องการชุมนุมหรือการเมือง แต่อาจจะเป็นเวลาที่พอดีกัน เนื่องจากได้ทำงานร่วมกันในสมัยเป็นครอบครัวเพื่อไทย และเห็นความสามารถหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง การบริหารจัดการที่ให้คำปรึกษาตนมาโดยตลอด จึงคิดว่าไทม์มิ่งตรงนี้เหมาะกับนายณัฐวุฒิ ที่จะเข้ามาทำงานพอดี และนอกรอบได้พูดคุยปรึกษากันเรื่อย ๆ และคิดว่าน่าจะทำประโยชน์ได้เยอะ
จากนั้นนายกฯ ได้ขอตัวออกจากวงสัมภาษณ์ของสื่อมวลชนทันที เนื่องจากต้อง รีบเดินทางไปขึ้นเครื่องบินที่ ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมืองในเวลา 11.50 น. เพื่อเยือนสาธารณะรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวอย่างเป็นทางการและเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 44 และ 45 ที่ นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว
ขณะที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม บอกว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่นายกฯสามารถดึงคนที่มีความรู้ความสามารถมาร่วมทีมได้ เพราะนายณัฐวุฒิเคยอยู่กับพรรคเพื่อไทยช่วงเวลาหนึ่ง เป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ การได้มาช่วยงานนายกฯถือเป็นเรื่องดี โดยเฉพาะการสื่อสารด้านการเมือง จึงคิดว่าน่าจะทำประโยชน์ได้หลายอย่าง นอกจากนี้ ยังมีอดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีอีกท่านหนึ่ง ไม่ใช่นายณัฐวุฒิเพียงคนเดียว ถือว่า ช่วยกันทำงานด้านการสื่อสารไปถึงประชาชน เกี่ยวกับผลงานรัฐบาล รวมถึงสิ่งที่สังคมไม่เข้าใจรัฐบาล
ส่วนนักร้องคนดังอย่าง นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ หลังจากก่อนหน้านี้ เคยร้อง กกต.ให้ตรวจสอบนางสาวแพทองธาร กรณีถือหุ้นเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และเคยร้องป.ป.ช.สอบจริยธรรม ปมมินิฮาร์ทมาแล้ว
ล่าสุด นายเรืองไกร เปิดเผยว่า ได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์เพื่อขอให้ กกต.ตรวจสอบ นางสาวแพทองธารว่า การแต่งตั้ง นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เป็นรองประธานคณะที่ปรึกษาด้านนโยบายของนายกรัฐมนตรี และการแต่งตั้งนายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี จะทำให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะนายสุรพงษ์ และนายณัฐวุฒิ เคยต้องคำพิพากษาศาลฎีกาให้ลงโทษจำคุกมาแล้ว โดยนายเรืองไกร อ้างอิงตามแนวคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ กรณีนายเศรษฐา ต้องพ้นจากตำแหน่ง จากการตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี ทั้งที่เคยถูกศาลมีคำสั่งลงโทษจำคุกมาแล้ว จึงขอให้ กกต.รีบตรวจสอบ และส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยโดยเร็ว
ส่วนกรณีที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติเห็นชอบแต่งตั้ง “บิ๊กต่าย” พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) นั้น ล่าสุด ทนายตั้ม นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ บอกว่า หลังจากนี้จะไปยื่นเรื่องร้องเรียนนายกฯ ฐานผิดจริยธรรม เพราะถึงแม้ว่า พลตำรวตเอกกิตติ์รัฐ จะมีลำดับอาวุโสสูงสุด แต่ในกฎหมายระบุว่า คนจะเป็น ผบ.ตร.ต้องผ่านงานด้านสืบสวนสอบสวนและงานด้านการปราบปรามมาก่อน แต่เมื่อพลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ ไม่เคยผ่านงานการเป็นผู้กำกับโรงพัก หรือระดับผู้บัญชาการสายงานสืบสวนปราบปรามเลย
นอกจากนี้ พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ ยังเป็นคู่กรณีของ พลตำรวจเอกสุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. ซึ่งมีเรื่องร้องเรียนอยู่ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แต่นายกฯกลับแต่งตั้งให้เป็น ผบ.ตร. นายกฯก็ถือว่ามีความผิดเรื่องจริยธรรม คล้ายๆกับกรณีที่แต่งตั้งรัฐมนตรีที่มีปัญหาความไม่ซื่อสัตย์สุจริต
มีรายงานว่า สำหรับคดีที่ค้างอยู่ใน ป.ป.ช. ของ พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ เป็นกรณีที่ พลตำรวจเอกสุรเชชษฐ์ ยื่นร้องต่อป.ป.ช.กรณีที่ พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ ใช้อำนาจหน้าที่มิชอบเซ็นให้ออกจากราชการไว้ก่อนในช่วงที่เป็นรักษาราชการ ผบ.ตร.นั้น แต่ขณะนี้ ป.ป.ช. ยังไม่มีการชี้มูลความผิด
ด้านพันตำรวจเอกวิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม มองว่า หากมีคนจะร้องก็มีสิทธิร้องได้ แต่คงไม่ถึงขั้นผิดกฎหมาย เพราแม้ว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐจะมีคดีค้างที่ ป.ป.ช. แต่คงจะไม่ถึงขั้นเอาผิดนายกฯได้ ส่วนเรื่องคุณสมบัติกฎหมายเขียนไว้กว้าง ๆ แต่แม้จะไม่ได้ผ่านงานสืบสวนปราบปรามก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
ส่วนที่พรรคพลังประชารัฐ นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ แถลงข่าวว่า ขณะนี้ได้รับการยืนยันว่า ในวันที่ 10 ตุลาคมนี้ จะรู้แน่นอน เกี่ยวกับจุดที่จะนำไปสู่การล่มสลายของแกนนำรัฐบาลพรรคหนึ่ง โดยจะมีการดำเนินการจากจุดเริ่มต้น และนำไปสู่จุดจบ ทำให้แกนนำรัฐบาลพรรคหนึ่ง อาจถึงขั้นล่มสลายได้ ส่วนจะเป็นเรื่องใด เกี่ยวกับอะไร ที่ไหน จะแจ้งให้สื่อมวลชนรับทราบในเวลา 07.00 น. วันที่ 10 ตุลาคมนี้ พอนักข่าผู้สื่อข่าวถามว่า จุดที่จะนำไปสู่การล่มสลายจากคนของพรรค พปชร. ไปยื่นร้องเกี่ยวกับข้อกฎหมายหรือไม่ นายไพบูลย์เดินหันหลังหนี โดยไม่ตอบคำถามดังกล่าว
ส่วนเรื่องการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและโครงการคนละครึ่งว่า จะสานต่อหรือไม่ วันนี้ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง บอกว่า มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เตรียมไว้ในระยะเวลา 6 เดือนจากนี้ไป โดยมีแพคเกจว่า อะไรจะออกในช่วงไหน แต่เรื่องนี้ยังสรุปไม่ได้ ต้องรอให้ผ่านกระบวนการประชุมไปก่อน ส่วนการสานต่อโครงการคนละครึ่งนั้น ช่วงนี้อยู่ในช่วงการรับฟังทั้งหมด แต่ยังไม่มีข้อสรุป ยืนยันว่า รัฐบาลนี้ไม่ได้สนใจเรื่องศักดิ์ศรี หรือ มองว่า ใครคิด ใครทำก่อนหรือ ทำหลัง แค่ขอให้มาตรการที่ออกมาเป็นประโยชน์ต่อประชาชนก็ยินดีทำ ซึ่งตรงนี้ กำลังคุยอยู่ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะทำหรือไม่ทำ