ข่าวเย็นประเด็นร้อน - เพจดังแฉไม่หยุด ธุรกิจชวนลงทุน วลีเด็ด "ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย" อ้างมีผู้เสียหายจำนวนมาก จนโลกออนไลน์ติดแฮชแท็ก "บริษัทขายตรงที่เป็นข่าว" พุ่งทะยานติดเทรนด์
ดรามา บริษัทดัง ชวนลงทุน-สมัครเรียน
กำลังเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ สำหรับบริษัทขายตรงชื่อดัง ที่ใช้เหล่าดาราตัวท็อปของเมืองไทย เป็นพรีเซ็นเตอร์ เปิดธุรกิจขายตรง สร้างดาวน์ไลน์ ขายฝันให้ประชาชนมาร่วมลงทุน สุดท้ายไม่เป็นตามที่พูด สร้างความเสียหายต่อประชาชนมากมาย
เพจเฟซบุ๊กดัง ๆ เช่น บิ๊กเกรียน และ อีซ้อขยี้ข่าว ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า บริษัทดังกล่าวใช้กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่แข็งแกร่ง และระบบ Drop Ship Fulfillment ที่ช่วยให้ตัวแทนจำหน่ายไม่ต้องสต็อกสินค้าเอง ทางบริษัทจะจัดส่งสินค้าให้ลูกค้าโดยตรง บริษัทมีการเปิดตัวแทนจำหน่าย ซึ่งต้องลงทุนในการเปิดบิลสินค้า เพื่อนำไปขายต่อ
บริษัทดังกล่าวมีการโฆษณาด้วยการจ้างดาราชื่อดังเป็นพรีเซ็นเตอร์ แถมมีตำแหน่งใหญ่ในบริษัทด้วย เช่น นางเอกสาวชื่อดัง รับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร อดีตพระเอกชื่อดังระดับตำนาน รับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาและวิจัยผลิตภัณฑ์ ซึ่งกรณีของอดีตพระเอกท่านนี้ ออกมาชี้แจงแล้วว่าเป็นเพียงพรีเซ็นเตอร์ ไม่เกี่ยวกับการขาย และไม่รู้เรื่องของบริษัทเท่าไหร่ เพราะเพิ่งเข้ามาได้ไม่ถึง 1 ปี ดาราและพิธีกรชายชื่อดัง รับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด
เพจอีซ้อขยี้ข่าว ยังเปิดโมเดลบริษัทเครือข่ายยักษ์ใหญ่ดังกล่าว เริ่มต้นจากการสร้างภาพลักษณ์ให้ดูน่าเชื่อถือ นำคนดัง ดารา นักแสดงมากหน้าหลายตาออกรายการ ยิงโฆษณาเชิญชวน ขายคอร์สราคาไม่แพง ไม่ถึงร้อยก็เรียนได้ ขายฝันว่าสามารถพลิกชีวิตได้
พอเหยื่อเริ่มเยอะ มาลงสมัครเรียน ก็สอน basic ทั่วไปที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว ปิดท้ายด้วยการ "เปิดบิล" ให้สต็อกสินค้า หากใครไม่มีทุน ก็ขายฝันต่าง ๆ นานา ให้ไปยืม หรือให้ไปกู้ เพื่อมาลงทุนกับบริษัท
แต่คำถามคือสินค้าที่ซื้อมา ขายให้ใครได้ เพราะไม่มีใครรู้จัก แล้วตั้งแต่เปิดบิลสต็อกสินค้า ยอดขายล้านชิ้น อยู่ที่ตัวแทนไปแล้ว 9 แสน 9 หมื่นชิ้น
เปิดงบการเงินบริษัทดัง
วิเคราะห์งบการเงินบริษัทเครือข่ายดังกล่าว บริษัททุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท ปี 2564 มีรายได้ 4,900 ล้าน, ปี 2565 รายได้ 2,500 ล้าน, ปี 2566 รายได้ 1,882 ล้าน จะเห็นว่ารายได้ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ข้อสังเกต ปี 2565 มีรายได้อื่น ๆ เพิ่มมา 500 ล้านบาท
ส่วนต้นทุนขาย ปี 2564 อยู่ที่ 3,709 ล้านบาท, ปี 2565 อยู่ที่ 2,381 ล้านบาท, ปี 2566 อยู่ที่ 1,707 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิลดลงมหาศาลจาก 1,022 ล้านบาท ในปี 2564 เหลือ 296 ล้านบาท ในปี 2565 และในปี 2566 ลดเหลือแค่ 28 ล้านบาท
"กบ ไมโคร" แฉถูกหลอกร่วมธุรกิจ
ขณะที่นักร้องดังรุ่นใหญ่อย่างคุณ "กบ ไมโคร" ออกมาแฉธุรกิจเครือข่ายดังกล่าว หลังเคยสมัครเป็นดีลเลอร์ จนสูญเงินนับล้าน โดยเจ้าตัวโพสต์บางช่วงว่า "ผมโง่เอง ไม่ทันเกมเอง ไม่เคยค้าขาย เลยไม่เข้าใจรูปแบบธุรกิจ กว่าจะต่อภาพจบ ก็ทำไปปีครึ่ง ผมเข้าไปช่วงพีเรียดสุดท้ายก่อนหมดโควิด-19 ผมไม่ได้เป็นพรีเซนเตอร์ หรือรับค่าจ้างใด ๆ ผมกับภรรยาเปิดบิลไป 7 ดีลเลอร์ (คูณ 2 แสนกว่า) กับลงขันยิงแอดด้วยประมาณ 1 ล้าน"
สุดท้ายเลิกทำ เพราะได้คุยกับหลาย ๆ คน ที่เอาเงินก้อนสุดท้ายมาลง เอาบ้าน รถ ที่ดินไปเปลี่ยนเป็นเงินมาลง จนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว มีมากมายที่เครียดจนสโตรค สามีขอเลิก ลูกไม่คุยด้วย ครอบครัวแตกแยก ผมทำใจไปต่อไม่ได้จริง ๆ
ถึงตรงนี้บอกเลยว่าไม่มีใครเอาผิดเขาได้หรอก ผมเองก็ไม่สามารถเอาผิดเขาได้ เพราะเขาสร้างเงื่อนไขไว้รัดกุมมาก เลยได้แต่บอกว่า เขาไม่ผิดหรอก ผมมันโง่เอง ธุรกิจที่ไม่ผิดกฎหมายอะไรเลย แต่กลับมีคนสูญเสียมากมายนั้น อันตรายมากกว่าธุรกิจ 18 มงกุฎ และที่ไม่มีสื่อ หรือหน่วยงานใดโฟกัสเรื่องนี้ เพราะคนผิดที่แท้จริงนั้น คือเจ้าทุกข์ที่ไม่ทันเกมที่เรียกว่าขายออนไลน์เอง ผมรู้ว่าคนของพวกบอสเห็นคอมเมนต์ของผม ฝากไปบอกว่า บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาป เอามาทดแทนกันไม่ได้ อะไรที่ทำแล้วดี ก็ขอให้รุ่งเรือง อะไรที่เลวร้ายที่รู้อยู่แก่ใจ ขอให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรม"
อ้าง "คริสโตเฟอร์ เบญจกุล" เป็นผู้เสียหาย
แฮชแท็กบริษัทขายตรงที่เป็นข่าว ยิ่งร้อนแรงทะยานขึ้นติดเทรนด์ หลังล่าสุดเพจ อีซ้อขยี้ข่าว ออกมาเปิดรายชื่อผู้เสียหาย เป็นอดีตนักแสดงอย่าง คุณคริสโตเฟอร์ เบญจกุล ที่ประสบอุบัติเหตุจากการไปช่วยคนข้างถนน แต่กลับโดนรถเฉี่ยวจนกลายเป็นคนพิการ โดยทางเพจอ้างว่ามีดาราคนหนึ่ง ทักมาชวนให้ไปลงทุน สุดท้าย คุณคริสโตเฟอร์ เบญจกุล นำเงินเก็บก้อนสุดท้ายไปลงทุน แล้วล้มไม่เป็นท่า สุดท้ายคนมาชวนไม่เคยมาดูดำดูดี
ขณะที่ คุณเชอร์รี่ ภรรยาของคุณคริสโตเฟอร์ ชี้แจงว่า รู้จักกับบริษัทดังกล่าว เพราะเห็นจากการยิงแอดโฆษณา จึงสนใจเข้าไปดู แต่ถ้าจะเข้าร่วมคอร์อบรมผ่านซูม ต้องจ่ายเงินก่อน 97 บาท เมื่อได้ฟังแรงบันดาลใจจากบุคคลต่าง ๆ จึงนำเงินเก็บก้อนสุดท้าย 200,000 บาท ไปเปิดดีลกับบริษัทดังกล่าว มีการนำเวย์โปรตีนมาขาย แต่ต้องจ่ายค่ายิงแอด สัปดาห์ละ 3,000-5,000 บาท สุดท้ายไปต่อไม่ไหว
"ทนายเดชา" พาผู้เสียหายแจ้งความพรุ่งนี้
ทีมข่าวสอบถาม นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ บอกว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายติดต่อมาแล้วเกือบ 10 คน และติดต่อ คุณต้นอ้อ เป็นหนึ่ง ประมาณ 40 คน แต่ละคนเปิดเผยรูปแบบคล้าย ๆ กันว่า เห็นโฆษณาทางสื่อออนไลน์ และโทรทัศน์ ชักชวนเรียนขายของออนไลน์
หลักสูตรราคาไม่ถึง 100 บาท แต่พอเข้าไปเรียนจริง ถูกชักชวนให้ลงทุนเป็นดาวน์ไลน์ขายสินค้า พฤติกรรมลักษณะแชร์ลูกโซ่ บางคนรู้ตัวก็เสียเงินซื้อของแค่หลักพัน แต่หลายคนที่หลวมตัวเสียเงินไปหลักแสน และต้องไปหาลูกข่ายมาต่อแขนขาธุรกิจอีก
วิธีการของบริษัทนี้ เป็นการหลอกลวงตั้งแต่ต้น โฆษณาว่าเป็นการเรียนขายของออนไลน์ แต่จริง ๆ แล้วกลับชักชวนให้ลงทุนกับบริษัท ถือว่าเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชนได้ มีบางรายไปฟังแค่วันแรกก็หลงกล หลวมตัวเข้าไป แล้วเปิดบัญชีสมัครสมาชิก รูดบัตรเครดิตซื้อของไป 2 แสนกว่าบาท
เรื่องนี้มีปัญหามาตั้งแต่ปี 2564 เคยมีคนไปร้อง สคบ. แต่ สคบ. มีหนังสือตอบกลับมาว่า "คนร้องไม่ใช่ผู้บริโภค เพราะเป็นการซื้อแล้วเอาไปขายต่อ สคบ. จึงไม่รับเรื่อง" รวมถึงบริษัทแห่งนี้มีทนายความเก่ง ทำสัญญาไม่ให้ผู้บริหารของบริษัทต้องรับผิดชอบ ทำนองว่า ถ้าเกิดคดีความขึ้นมา แม่ข่ายแม่ทีมต้องรับผิดชอบ เจ้าของบริษัทไม่เกี่ยว ถ้ามีใครโพสต์ในโซเชียลฯ คนของบริษัทจะติดต่อเข้าไปเคลียร์ทันที โดยวันพรุ่งนี้ (10 ต.ค.) จะพาผู้เสียหายไปแจ้งความตำรวจ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค
ผู้เสียหายถูกกล่อมสูญเงิน 5 แสนบาท
ทีมข่าวได้พูดคุยกับ คุณลิน อายุ 63 ปี หนึ่งในผู้เสียหาย เล่าว่า เคยหลวมตัวเข้าไปฟัง และลงทุนในบริษัทแห่งนี้เมื่อปี 2563 หลังมีแม่ทีมคนหนึ่ง ยิงแอดโฆษณาเข้ามาว่า สอนขายของออนไลน์ฟรี เมื่อติดต่อกลับ ถูกชักชวนให้สมัครสมาชิก เพื่อเปิดบัญชีขายสินค้าของบริษัท จึงสมัครสมาชิกเป็นเงิน 2,500 บาท และได้สินค้ามาจำนวนหนึ่ง แต่เป็นสินค้าราคาแพง ไปขายใครก็ไม่ได้ ต้องไปยัดเยียดขายให้คนสนิท
จากนั้นมาชักชวนให้จ่ายเงินอีก 25,000 บาท เพื่อเพิ่มระดับสมาชิกให้สูงขึ้น และถ้าอยากเป็นดีลเลอร์บริษัท ต้องซื้อของในราคาชุดละ 250,000 บาท ตอนนั้นไปฟังแล้วเคลิ้ม เพราะเจ้าของบริษัทพูดดูดี สุดท้ายลงทุนไปทั้งหมด 500,000 บาท แต่สินค้าที่ได้มาก็ขายไม่ออก จากนั้นมีคนของบริษัท อ้างขอซื้อคืน ด้วยวิธีแลกกับเหรียญคริปโทฯ แต่ได้เงินคืนแค่ 3 หมื่นกว่าบาท จึงรู้ว่าบริษัทนี้หลอกลวง เป็นเหมือนแชร์ลูกโซ่
ตร.พร้อมตรวจสอบบริษัทฉาว
ด้าน พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ระบุว่า ขณะนี้ยังไม่มีผู้เสียหายมาแจ้งความร้องทุกข์ แต่ได้ดำเนินการทำข้อมูลไว้บ้างแล้ว หากมีผู้เสียหายมาแจ้ง ก็พร้อมจะดำเนินการต่อ
สั่ง "ผู้ช่วย ผบ.ตร." ดูแลบริษัทขายตรง
ขณะที่เพจเฟซบุ๊ก ดาวแปดแฉก ระบุว่า ล่าสุด พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ได้แต่งตั้ง พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร.เข้ามาดูแลเรื่องเครือข่ายธุรกิจขายตรงแล้ว พร้อมเตรียมตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียน
ด้าน พล.ต.ท.อัคราเดช ระบุว่า ได้รับการมอบหมายให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องธุรกิจดังกล่าว เบื้องต้นจะมอบหมายให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ตรวจสอบเรื่องนี้ไปก่อน
"แซม ยุรนันท์" แจงปมโยงบริษัทดัง
ล่าสุด แซม ยุรนันท์ อดีตพระเอกชื่อดัง แถลงเปิดใจถึงกรณีเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้บริษัทชื่อดังว่า อยากขอความเป็นธรรมด้วย เพราะส่วนตัวก็ตกใจ เมื่อรู้ข่าวว่าคนที่รับซื้อสินค้าไปขาย แล้วขายไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่ไปเจอตัวแทน จะเจอแต่คนที่ประสบความสำเร็จ แต่จากสถานการณ์ปัจจุบัน จะให้ตนเองตอบแทนบริษัท คงทำไม่ได้ เนื่องจากไม่ได้เข้ามาช่วยบริหาร หรือมีส่วนกับการบริหารงานของบริษัท
ส่วนตัวรู้จักกับผู้ก่อตั้งบริษัทแห่งนี้ เพราะเรียนหลักสูตรผู้บริหารทรัพย์สินต่าง ๆ ด้วยกัน จึงชักชวนมาร่วมงานเรื่องดูแลตัวผลิตภัณฑ์ ขอบเขตมีแค่เรื่องคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ไม่ได้เป็นผู้บริหารระดับสูง ที่ตัดสินใจต่าง ๆ ได้ ส่วนตำแหน่งที่ออกมา เพราะเขาแค่อยากให้เกียรติตนเอง
ขอยืนยันว่า ตนเองไม่เข้าข้างบริษัท ถ้าทำผิดก็ไม่สนับสนุน แต่คงปัดความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะหลายคนที่เข้ามาร่วมธุรกิจ ส่วนใหญ่ก็ตามมาจากดาราที่เป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่ก่อนจะเข้ามาที่บริษัทดังกล่าว ตนเองมีการตรวจเช็กแล้ว ไม่ได้เข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ แต่ระหว่างทางก่อนที่ตนเองเข้ามาอยู่ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตนเองไม่รู้
"บอสพอล" พร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ขณะที่ บอสพอล วรัตน์พล CEO ผู้ก่อตั้ง THE iCON GROUP โพสต์ชี้แจงว่า ตลอดระยะเวลาที่ทำธุรกิจขายปลีก-ขายส่ง ผ่านระบบตัวแทน ภายใต้บริษัทดิไอคอนกรุ๊ป มาเป็นระยะเวลา 6 ปีกว่า ผมเชื่อมั่นว่า ผมดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องโปร่งใส
แต่จากเหตุการณ์ ที่เกิดเป็นกระแสสังคมขึ้น รู้สึกเสียใจอย่างมาก ที่เกิดเหตุว่ามีผู้เสียหายเกิดขึ้น เนื่องจากการทำธุรกิจกับบริษัทของผม ผมได้ให้ทีมงานตรวจสอบข้อมูล ปรากฏมีหลายเคสตามที่เกิดดรามา กลับไม่ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายของผม แบบที่กล่าวอ้างเลย และมีอีกหลายเคส ที่ขายของกับบริษัทผม แล้วได้เงินกำไรไปจำนวนมาก แต่ก็กลับมาต่อว่า
ผมยอมรับตรง ๆ ว่า ผมงง และสับสนมาก พยายามดูข้อมูลว่าอันไหนเป็นข้อมูลจริง อันไหน เป็นการกลั่นแกล้ง ใส่ความปลุกปั่น บ้างก็ด่าเอามัน เอาสะใจ โดยมีข้อมูลถึงขั้นที่ว่า ทำธุรกิจกับบริษัทของผมแล้วฆ่าตัวตาย อันนี้คือประเด็นใหญ่ที่สุด ที่ผมเองไม่เคยได้รู้มาก่อนเลยครับ และยังคงสงสัยอยู่ว่า ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แล้วทำไม ถึงไม่มีใครในองค์กร รู้มาก่อนบ้างเลย อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นเรื่องจริง ผมคงรู้สึกเสียใจมาก และอยากที่จะช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวผู้ที่สูญเสียอย่างเต็มที่ครับ
ในช่วงที่กระแสสังคมเปรียบเหมือนน้ำเชี่ยว จากการรับข้อมูล "ทางเดียว" ในตอนนี้ ยิ่งจะเป็นการทำให้สถานการณ์ที่หนักอยู่แล้ว หนักยิ่งขึ้น ผมจึงใช้เวลาทั้งหมดในการเตรียมข้อมูล ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง รวมทั้งหลักฐานต่าง ๆ ที่จะชี้แจงให้ทราบผ่านกระบวนการยุติธรรม ทางกฎหมาย ผมพร้อมเข้าสู่กระบวนการ เพราะผมเชื่อว่าเราต่างเป็นสุจริตชนที่อยู่ภายใต้ "กฎหมาย" ไม่ใช่การใช้ "กฎหมู่" หรือกระแสสังคม ในการทำลายกัน
ผมพร้อมจะเข้าไป แสดงตัวมอบตัวกับตำรวจ ตามที่ตำรวจจะแจ้งให้ทราบทุกเมื่อ ผมรอพิสูจน์ความจริง อยู่ตรงนี้ ไม่หนีไปไหน แน่นอนครับ!!! และพร้อมนำข้อเท็จจริง หลักฐานทั้งหมด เข้าชี้แจงผ่าน "กระบวนการยุติธรรม"
ถ้าผมทำผิดตามที่ถูกกล่าวหา ผมย่อมจะต้องได้รับโทษทางกฎหมาย อย่างถึงที่สุดแน่นอนครับ แต่วันนี้ผมเป็นผู้บริสุทธิ์ ผมส่องกระจกดูตัวเองแล้ว ผมยังสามารถ สบตาตัวเองได้ "อย่างเต็มตา" ผมอยากข้อร้องวิงวอนให้ทุกท่านโปรดให้โอกาสผมและองค์กร ได้พิสูจน์ตัวเองผ่านกระบวนการยุติธรรม ก่อนที่จะด่วนตัดสินกัน
ยันคดีบริษัทขายตรง เป็นงานใหญ่
พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รองผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เปิดเผยว่า ตอนนี้รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ได้เรียกประชุมด่วน เพื่อหาแนวทางในการตรวจสอบการประกอบธุรกิจดังกล่าว โดยตั้งคณะทำงานสืบสวนสอบสวนขึ้นมาตรวจสอบ มีกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และกองบัญชาการตำรวจไซเบอร์ ทำงานร่วมกัน
เบื้องต้นธุรกิจนี้มีปัญหาจริง แต่จะเป็นปัญหาในรูปแบบใด ยังไม่สามารถบอกได้ ส่วนผู้บริหาร ศิลปินดารา หากพบมีหลักฐานว่ากระทำผิด ก็ต้องมีการดำเนินคดี
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีผู้เสียหายในธุรกิจดังกล่าวเข้ามาแจ้งความดำเนินคดีหรือยัง / พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ ตอบว่า ยังไม่สามารถให้ข้อมูลได้ แต่ยืนยันว่าเรื่องนี้จะเป็นงานช้าง งานใหญ่อย่างแน่นอน