ข่าวเย็นประเด็นร้อน - ดีเอสไอ พร้อมรับคดี "ดิไอคอนกรุ๊ป" เป็นคดีพิเศษ หากพบพฤติการณ์เป็นแชร์ลูกโซ่ ด้าน "หนุ่ม กรรชัย" และ "กัน จอมพลัง" พาผู้เสียหายแจ้งความเพิ่ม
หนุ่ม กรรชัย พาผู้เสียหายร้อง ตร.
วันนี้ (14 ต.ค.) ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ ปคบ. หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย พิธีกรชื่อดัง พร้อม นายปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ หรือ บอย ปกรณ์ และ นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ กัน จอมพลัง พาผู้เสียหายจากบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป แจ้งความดำเนินคดี
หนุ่ม กรรชัย กล่าวว่า วันนี้มีผู้เสียหายกระจายตัวเป็นวงกว้าง จึงต้องพาผู้เสียหายมาร้องขอความเป็นธรรม ส่วนที่มีกระแสว่า กลุ่มของตนเองนำแม่ข่ายไปฟอกขาวในรายการ เหมือนการเอาก้อนขนมปัง ที่เป็นก้อนใหญ่ ไปตกปลาใหญ่ นั้นก็คือ "แม่ข่าย" เพื่อสาวขึ้นไปให้ถึงตัว "บิกบอส" ส่วนที่ บอสพอล อ้างว่า มีขบวนการล้มล้างเครือข่าย ด้วยการเอาพวกที่มีอิทธิพลต่อสื่อออกมาโจมตี หรือรุมกินหมาเน่านั้น มองว่าเป็นสิ่งที่หลายคนคิด หรือจะพูดก็ได้ แต่ถ้าคุณต้องกินหมาเน่า แล้วสังคมมันดีขึ้น คุณจะกินหรือไม่ ถ้าเป็นตนเองจะยอมกิน
ทั้งนี้อยากให้ผู้เสียหายอุ่นใจ บางคนไม่สบายใจ เพราะมีคำขู่ว่าจะฟ้องกลับ อยากให้รักษาสิทธิ์ ถ้าอยู่ต่างจังหวัด ไม่จำเป็นต้องมากรุงเทพฯ เพราะ สภ. ทุกที่ ต้องรับแจ้งความ ถ้าไม่รับแจ้งความ ตำรวจจะโดนดำเนินคดีมาตรา 157
บอย ปกรณ์ แจ้งความ อ้างโดนหลอกใช้
ด้าน บอย ปกรณ์ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายจำนวนมาก ร้องเรียนมาที่ตนเอง ส่วนตัวขอประกาศจุดยืนชัดเจนว่า จะยืนฝั่งผู้เสียหาย อยากทำอะไรที่เป็นการรับผิดชอบ ที่ตนได้กระทำด้วยความไม่รู้ แต่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความเสียหาย เนื่องจากตนถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือ
และวันนี้เข้ามาให้ปากคำ พร้อมนำเอกสารมายื่นแก่พนักงานสอบสวน พร้อมเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ รวมถึงทำหนังสือยกเลิกสัญญาพรีเซนเตอร์ โดยจะคืนเงินให้ทางบริษัท และมาแจ้งความร้องทุกข์บริษัทฯ ซึ่งเป็นนิติบุคคลก่อน ฐานฉ้อโกง เพื่อปกป้องสิทธิ์ของตนเอง แม้ความเสียหายของตนเอง จะไม่เท่าความเสียหายผู้อื่น แต่ส่วนที่บริษัทมีการปกปิดข้อเท็จจริง ทำให้เข้าใจผิด นอกจากนี้ยังมีการนำรูปของตนเองไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
แฉบริษัทแต่งเรื่อง อ้างประสบความสำเร็จ
กัน จอมพลัง กล่าวว่า วันนี้รวบรวมผู้เสียหายมาได้ 40 คน มีผู้เสียหายบางรายเป็นผู้พิการ ขายไม่ได้สักกล่อง แต่มีการนำภาพและคลิปไปเผยแพร่ว่า เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ
อี้ แทนคุณ - ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง พาเหยื่อแจ้งความเพิ่ม
ขณะที่ ต้นอ้อ มูลนิธิเป็นหนึ่ง พร้อม นายแทนคุณ จิตต์อิสระ พาผู้เสียหายกว่า 40 คน ที่ร่วมลงทุนมาที่กองบังคับการปราบปราม นายแทนคุณ กล่าวว่า มีการรวบรวมผู้เสียหายได้กว่า 1,000 ราย จะทยอยพาเข้ามาพบตำรวจ ผู้เสียหายส่วนใหญ่เป็นดีลเลอร์ บางคนเสียหายถึง 4 ล้านบาท บางคนเป็นแม่บ้านที่รวบรวมเงินมาทั้งชีวิต หวังจะต่อยอดเงิน สุดท้ายไม่ได้อะไรกลับมาจนคิดสั้น เกือบฆ่าตัวตาย
ผู้เสียหายเปิดใจลงทุนเจ๊ง 3 ล้านบาท
นางสาวทิพย์ หนึ่งในผู้เสียหายที่เสียเงินไปกว่า 3 ล้านบาท บอกว่า รู้จัก ดิไอคอน ผ่านน้องที่สนิทกันแนะนำให้รู้จักกับ บอสพอล และชักชวนให้เป็นนายทุน ให้สต็อกของไว้ให้ 3 เดือน บอกว่า จะคืนทุนตอนแรก ตนเองไม่ได้สนใจ แต่เห็นแก่รุ่นน้องที่สนิทจึงร่วมลงทุน
ขณะนั้นทาง บอสพอล บอกว่า ไม่ต้องทำอะไรเลย เดี๋ยวจะหาคนมาซื้อเอง ซึ่งตนก็ตกลง สุดท้ายจ่ายเงินไป 2 เดือนแรก ไม่ได้กำไร ไม่มีใครมาซื้อ ยิ่งระยะหลังให้ตนมาช่วยขาย สุดท้าย บอสพอล จะรับซื้อสินค้าที่สต็อกคืน จากที่ตนสต็อกไว้ 100 ลัง แต่ซื้อคืนเพียงไม่กี่ลัง ที่เหลือให้ไปหาขายเอง สุดท้ายอย่าว่าแต่กำไร แค่ทุนก็ยังไม่ได้คืน ต้องเอาของไปบริจาคตามที่ต่าง ๆ แทน
ผู้เสียหายเล่านาทีหวิดกระโดดตึก
ด้าน นางราตรี ผู้เสียหายอีกราย บอกว่า เป็นแม่บ้าน เก็บเงินวันละ 300 บาท นาน 19 ปี ได้เงินก้อนหวังจะปลูกบ้านให้ลูก ปรากฎว่ามีคนมาชักชวนลงทุนกับ ดิไอคอน ครั้งแรกชวนลงทุน 2,500 บาท ต่อมาชักชวนเป็น 250,000 บาท เพื่อจะได้รหัสสมาชิก สืบทอดเป็นมรดกให้ลูกหลาน
พอหลงคารม เอาเงินไปลงทุน เพราะหวังจะต่อยอดเงินที่มีอยู่ หลังจากลงเงินไปแล้วก็ยังไม่ได้ของต้องไปอบรมก่อน เมื่อเริ่มตั้งคำถามก็ถูกเบรกว่า "ไม่ต้องถามมาก ไม่ต้องพูดมาก" พอตั้งคำถามได้แค่ 15 วัน ก็ถูกดีดออกจากไลน์กลุ่ม โดยไม่ได้อะไรกลับคืนมาเลย
หลังเกิดเรื่องเครียดมาก ถึงขึ้นคิดอยากจะกระโดดตึกตายให้เห็นเป็นตัวอย่าง แต่สุดท้ายก็นึกถึงลูก แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ทำให้เครียดลงกระเพาะ ทุกวันนี้ยังต้องกินยากระเพาะ ยานอนหลับ และยาระงับอารมณ์ฉุนเฉียว
ต้นอ้อ บอกว่า กลุ่มผู้เสียหายที่เข้ามาร้องเรียนกับเธอนั้น มีมากกว่า 1,500 คน มีการลงระบบแล้วประมาณ 300 คน มูลค่าความเสียหายประมาณ 150 ล้านบาท มีผู้เสียหายบางคนมาบอกว่า ตำรวจท้องที่ไม่รับแจ้งความแล้ว ให้มาแจ้งที่กองปราบเท่านั้น ทำให้คนต่างจังหวัดหลายคน เกิดความกังวลกลัวคดีจะไม่คืบ
ฝากผ่านสื่อว่า ขณะนี้ ผบ.ตร. สั่งการมาแล้วว่า ให้ผู้เสียหายไปแจ้งความที่สถานีตำรวจในท้องที่ของตนเองได้ตลอดเวลา
จ่อเสนอญัตติถกในสภา
ขณะที่ นายเอกราช อุดมอำนวย สส.กทม. พรรคประชาชน โพสต์เฟซบุ๊ก ข้อความระบุว่า "การกระทำการของบริษัทเอกชน ที่เป็นข่าว เข้าตามนิยาม การกู้ยืมเงิน ตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนหรือไม่ ซึ่งกรณีนี้มีข้อเท็จจริงที่เชิญชวนร่วมลงทุน ถ้าผิดเข้าตามนิยาม พ.ร.ก.นี้ ซึ่งผู้กระทำทั้งหมด ตัวการรวมถึงผู้โฆษณาจะมีความผิด จำคุก 5-10 ปี ปรับถึงหนึ่งล้านบาท #ดิไอคอน"
"วันพฤหัสบดีนี้ ผมได้เสนอพรรคประชาชนและเพื่อนสมาชิก ขอเสนอญัตติด่วนด้วยวาจา ขอให้สภาฯ ศึกษาปัญหาและการแก้ไขกฎหมาย เพื่อป้องกันธุรกิจอันเข้าลักษณะการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน หรือแชร์ลูกโซ่"
ดีเอสไอ พร้อมรับเป็นคดีพิเศษ
ส่วนคดีนี้ ซึ่งมีผู้เสียหาย 300 รายขึ้นไป และมีมูลค่าความเสียหายเกิน 100 ล้านบาท ทางดีเอสไอจะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่นั้น
พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เปิดเผยว่า หากมีการรวบรวมพยานหลักฐาน พยานเอกสาร พยานวัตถุ มีการสอบปากคำผู้เสียหาย สอบปากคำผู้ถูกกล่าวหา แล้วพบพฤติการณ์ที่เข้าข่ายอาจเป็นความผิดแชร์ลูกโซ่ตามแนบท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องมีการแจ้งเรื่องและพฤติการณ์ทางคดีมาให้ดีเอสไอพิจารณารับเป็นคดีพิเศษ
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้แม้ดีเอสไอยังไม่ได้รับเป็นคดีพิเศษ แต่การดำเนินการตรวจสอบจะไม่หยุดชะงัก เพราะทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและดีเอสไอ โดย พันตำรวจตรี วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ (กองคดีแชร์ลูกโซ่ดีเอสไอ) มีการประสานเรื่องข้อมูลร่วมกันต่อเนื่อง
หากดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ ในส่วนของการสอบปากคำเหล่าบรรดาบอสของบริษัทฯ และบอสดารา ก็ต้องดูข้อเท็จจริงที่เคยมีการให้การไว้ เพื่อพิจารณาว่ายังมีประเด็นใดที่ดีเอสไอต้องสอบถามเพิ่มเติมหรือไม่ รวมทั้งต้องดูข้อมูลที่ตำรวจได้ไปรวบรวมตรวจค้นว่ามีรายการอะไรบ้าง
ส่วนกรอบขอบเขตการสอบสวนที่ดีเอสไอตั้งไว้ คือ เน้นย้ำเรื่องบัญชีของบริษัทและวิธีการรับประโยชน์ อาทิ แผนธุรกิจของบริษัทฯ มีการเน้นหาสมาชิกหน้าใหม่มากกว่าเน้นการขายผลิตภัณฑ์หรือไม่ และเส้นทางการเงินของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการบริหารแผนธุรกิจ
ด้าน พันตำรวจตรี วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ ในฐานะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุว่า ขณะนี้ทั้งหมดยังเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา ยังมีโอกาสที่จะชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ชี้แจงข้อเท็จจริง และสามารถนำพยานหลักฐานที่จะชี้แจงเข้าสำนวนของพนักงานสอบสวนได้ ซึ่งตรงนี้ดีเอสไอจะใช้อำนาจของ พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 มาตรา 7 เพื่อเปิดโอกาสให้ได้รายงานสถานภาพการประกอบธุรกิจ และจะได้ส่งพยานหลักฐานที่ดำเนินการอยู่มาให้ดีเอสไอ เพื่อเอาข้อเท็จจริงมากางดูต่อไป
ยืนยันว่าไม่มีเส้นแบ่งระหว่างสองหน่วยงาน ทำงานซัปพอร์ตกัน แต่ถ้าเมื่อไรเป็นคดีพิเศษ ดีเอสไอก็จะมาเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินการ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานร่วมกัน